
เมื่อผู้รู้ใช้เวทีการเมืองเป็นพื้นที่เคลื่อนไหว : ผลเสียต่อศาสนาและความเข้าใจของประชาชน
โดย.... อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
การดะอ์วะฮ์ในอิสลามมีเป้าหมายเพื่อ ทำให้หัวใจผู้คนรู้จักอัลลอฮ์ สร้างความสงบ ความเมตตา และความถูกต้องของอากีดะฮ์ แต่ในยุคปัจจุบัน ความท้าทายสำคัญเกิดจากความสับสนภายในอุมมะห์เอง โดยเฉพาะเมื่อ “ผู้รู้” บางส่วนใช้ เวทีทางการเมือง เป็นพื้นที่หลักในการประกาศทัศนะ ปลุกมวลชน และโจมตีผู้นำรัฐต่าง ๆ
แม้พวกเขาอาจมีเจตนาเพื่อปกป้องอุมมะห์หรือเรียกร้องความยุติธรรม ทว่าเมื่อดะอ์วะฮ์ถูกผูกเข้ากับการเมือง ผลเสียที่เกิดขึ้นกลับมีมากกว่าผลดี และก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนในการเข้าใจศาสนาครั้งใหญ่ภายในสังคมมุสลิม
1. การเมืองทำให้ “ความรู้ศาสนา” ถูกบิดเบือนเป็น “อารมณ์ศาสนา”
เมื่อผู้รู้ใช้เวทีการเมืองเป็นจุดขายหลัก ศาสนาซึ่งควรสร้างความสงบ กลับถูกตีความใหม่เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ความโกรธ ความไม่พอใจ และความแบ่งฝ่าย
ศาสนากลายเป็น : ศาสนาแห่งความโกรธ, ศาสนาแห่งการแบ่งข้าง, ศาสนาแห่งการกล่าวหา, ศาสนาแห่งอารมณ์แทนปัญญา
ผู้ฟังโดยเฉพาะเยาวชนเรียนรู้แบบผิด ๆ ว่า : “อิสลาม = การต่อต้านการเมือง = การโจมตีผู้นำ” ทั้งที่ไม่เคยเป็นวิธีการของท่านนบี ﷺ
หลักฐานจากอัลกุรอาน
(وَلَا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ)
“และอย่าได้เดินตามหลายแนวทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแตกแยกจากทางของพระองค์”
(อัลอานอาม 153)
นี่คือการเตือนว่า ทางเดียวของศาสนา คือเตาฮีดและความสงบ ไม่ใช่ความขัดแย้งทางอารมณ์ที่ไม่มีหลักฐาน
2. ผู้คนละเลยการเรียนรู้เรื่องอากีดะฮ์ เพราะถูกดึงด้วยประเด็นการเมือง
อากีดะฮ์คือหัวใจของศาสนา แต่เมื่อผู้รู้บางคนยกการเมืองขึ้นหน้าความเชื่อ ผลคือ : อากีดะฮ์ถูกลดความสำคัญ, การรู้จักอัลลอฮ์ถูกแทนด้วยการรู้จัก “ผู้นำฝ่ายไหนผิด”, เวลาศาสนาถูกใช้ไปกับการวิเคราะห์การเมืองมากกว่าศึกษาเตาฮีด, เยาวชนสนใจคลิปปลุกอารมณ์มากกว่าคลิปสร้างอีมาน
เกิดคนรุ่นใหม่ที่ : รู้ข่าวการเมือง แต่ไม่รู้หลักศรัทธา ,วิจารณ์ผู้นำได้ แต่ท่องอากีดะฮ์ไม่ได้, โกรธง่าย แต่ไม่กลัวอัลลอฮ์
หลักฐานจากซุนนะฮ์
ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า:
“ผู้ใดที่อัลลอฮ์ประสงค์ความดีแก่เขา พระองค์จะให้เขาเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง”
(บุคอรี – มุสลิม)
การเข้าใจศาสนาที่แท้จริง เริ่มจากอากีดะฮ์ ไม่ใช่จากข่าวการเมือง
3. การดะอ์วะฮ์ที่ใช้การเมืองเป็นเครื่องมือ ทำให้ผู้คนสูญเสียความเคารพต่อผู้ปกครอง
อิสลามสอนชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิของผู้ปกครอง: “จงเชื่อฟังผู้นำของเจ้า แม้เขาจะมีข้อบกพร่อง ตราบใดที่เขาไม่สั่งให้ทำบาป”
(หะดีษศอเฮียะห์)
แต่เมื่อผู้รู้ใช้การเมืองโจมตีผู้นำ ผลที่ตามมา : ประชาชนหมดความเคารพต่อผู้ปกครอง, เยาวชนเติบโตอย่างหัวแข็ง ไม่ยอมรับกฎหมาย, สังคมเกิดความวุ่นวาย , ผู้คนเข้าใจว่า “อิสลามสนับสนุนการล้มอำนาจ” อาดับกับผู้ปกครองหายไปจากหัวใจ
คำกล่าวของสลัฟ
อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า:“การทำลายชื่อเสียงผู้ปกครอง เป็นต้นเหตุของฟิตนะฮ์ใหญ่ในอุมมะห์”
อิหม่าม อัล-บัรรบะฮารี กล่าวว่า: “เมื่อผู้คนเกลียดชังผู้นำ ทั้งศาสนาและดุนยาของพวกเขาจะพังไปพร้อมกัน”
4. เมื่อผู้นำถูกลดทอนความน่าเชื่อถือ สังคมจะพังจากภายใน
เมื่อความน่าเชื่อถือของผู้นำถูกทำลายโดยผู้รู้หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง จะเกิดผลเสียดังนี้ : ประชาชนไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย, ความสามัคคีหายไป, แนวคิดสุดโต่งเบ่งบาน, สังคมอ่อนแอโดยธรรมชาติ, ความวุ่นวายกลายเป็นเรื่องปกติ
เยาวชนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า “ศาสนาสนับสนุนการประจานผู้ปกครอง” ทั้งที่สลัฟไม่เคยทำเช่นนั้นแม้ในยุคผู้นำที่มีข้อบกพร่องอย่างชัดเจน
5. เวทีศาสนาที่กลายเป็นเวทีการเมือง ทำให้ศาสนาขาดความศักดิ์สิทธิ์
การสอนศาสนาควรเป็นพื้นที่แห่ง : ความเมตตา, ปัญญา, การรักษาโรคหัวใจ, การสร้างอีมาน
แต่เมื่อศาสนาถูกแปรเป็นเวทีปลุกอารมณ์ทางการเมือง มันจะกลายเป็นพื้นที่ของ : การโจมตี, การกล่าวหา, การแบ่งฝ่าย, การลดทอนคน, ความโกรธแทนความศรัทธา
ผู้ฟังจึงสับสนว่า ตนกำลังเรียนศาสนา หรือกำลังฟังวาทกรรมการเมือง
6. ผลเสียระยะยาว: ความศรัทธาของประชาชนจะบิดเบี้ยว
เยาวชนรุ่นใหม่เริ่มสรุปว่า:
“อิสลาม = อารมณ์การเมือง”
“ผู้ศรัทธาที่ดี = ต้องต่อต้านรัฐ”
“ผู้รู้ที่ดี = คนที่กล้าด่าผู้นำ”
นี่คือผลเสียอันตรายที่สุด เพราะทำให้ : ผู้คนไกลจากอัลกุรอาน–ซุนนะฮ์, ผู้คนใช้การเมืองตีความศาสนา, อากีดะฮ์ถูกละเลย, ความศรัทธาบิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว
สรุปหลักการสลัฟ
ศาสนาต้องนำหน้า ไม่ใช่การเมือง ท่านนบี ﷺ ไม่เคยใช้การเมืองเป็นแกนกลางของดะอ์วะฮ์ สลัฟไม่เคยยกย่องกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง สลัฟเตือนหนักมากเรื่องการโจมตีผู้นำ การเมืองทำให้ผู้คนละเลยอากีดะฮ์และอีมาน ดะอ์วะฮ์ที่แท้จริงต้องนำไปสู่ความสงบ ไม่ใช่ความโกรธ ศาสนาคือการสร้างหัวใจมนุษย์ ไม่ใช่การปลุกอารมณ์สังคม