มุสลิมสายพันธ์ใหม่
  จำนวนคนเข้าชม  6385

มุสลิมสายพันธ์ใหม่

          นาย แซมมวล ที ฮันติงตัน (Samuel T.Huntington) ได้เขียนหนังสือชื่อ การขัดแย้ง หรือการปะทะกันทางอารยธรรม (Clash of Civilization) โดยกล่าวว่า จะมีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างวัฒนธรรมตะวันตก กับวัฒนธรรมจีน

          ในเมื่อเราพูดถึงวัฒนธรรม ก็สมควรจะรู้ถึงความหมาย ซึ่งนักวิชาการได้ให้ไว้โดยสรุปว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าให้แก่หมู่คณะ วิถีชีวิตของกลุ่มชน ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการมีศีลธรรมอันดีของประชาชน

          วัฒนธรรมอิสลาม มีปัจจัยนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า การพัฒนา ความสงบเรียบร้อย และการมีศีลธรรม แต่ที่มาของวัฒนธรรมอิสลาม มีความแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ เพราะแหล่งที่มาของวัฒนธรรมอิสลาม มาจากคัมภร์อัลกุรอาน และซุนนะฮ์ ของท่านเราะซูล  มิได้เกิดจากความคิด ความเห็นของมนุษย์ตนใด จึงทำให้วัฒนธรรมอิสลามมีรูปแบบที่แน่นอน และบรรดามุสลิมได้รับการสืบทอดกันต่อมา ตั้งแต่ชนรุ่นหนึ่งยังชนอีกรุ่นหนึ่ง ตั้งแต่ชาวสลัฟ(รุ่นก่อน) มายังชาวคอลัฟ(รุ่นหลัง)

          ตัวอย่างการแสดงการทักทายเมื่อพบปะกัน คือ การกล่าวว่า"อัสลามุอลัยกุม" และมีการสัมผัสมือกัน และวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารให้เริ่มด้วย "บิสมิลลาฮ์" และการแต่งกายของมุสลิมะฮ์ คือการปกปิดเอาเราะฮ์ คลุมฮิญาบ โดยไม่แต่งกายหวือหวา รัดรูป โป้เปลือย

          ตามที่ได้กล่าวมา วัฒนธรรมอิสลาม มาจากรากฐานของคัมภีร์อัลกุรอานและแบบฉบับของท่านนะบี  จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ และไม่ยอมรับการต่อเติม หรือตัดทอนใดๆ ทำให้วัฒนธรรมอิสลาม มีความสะอาดบริสุทธิ์ แต่ด้วยความพยายามที่จะทำลายวัฒนธรรมอิสลามของกลุ่มชนที่มีอคติ และเกลียดชังอิสลาม และมุสลิมที่คิดว่าตนเองเป็นมุสลิมหัวก้าหน้า จึงพยายามที่จะนำเอาวัฒนธรรมอื่นเข้ามาสอดแทรกรวมกับวัฒนธรรมอิสลาม หรือให้มุสลิมละทิ้งวัฒนธรรมของตน ไปใช้วัฒนธรรมอื่น เช่นใช้คำว่า "Hello" แทนคำว่า อัสลามุอลัยกุม ในการทักทายระหว่างมุสลิม หรือปฏิบัติตามประเพณี ตามลัทธิ ความเชื่ออื่น โดยอ้างว่าเป็นประเพณีท้องถิ่น โดยลืมคำสอนของอัลลอฮ์ ที่ว่า

"ศาสนาของพวกท่านก็เป็นของพวกท่าน ศาสนาของฉันก็เป็นของฉัน"

        หรือการจัดงานรื่นเริง เฉลิมฉลองตามเทศกาลโดยอ้างว่า เพื่อให้กลมกลืนกับสังคมทั่วไป ในบางครั้งก็มีการกระทำการละเมิดบทบัญญัติอิสลาม

         สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ เจตนาของผู้มีอำนาจ มีเกรียติ มีฐานะในสังคมมุสลิมบางคน ได้สร้างบรรทัดฐาน โดยวางตัวคล้ายกับเป็นมุสลิมผู้เคร่งครัด หากแต่มีวาระแอบแฝงสอดแทรกอยู่ บางคนใช้ศาสนาเป็นบันไดหาผลประโยชน์ บางคนเอาความตักวา(ยำเกรง)ไปปะปนกับความหมิ่นเหม่ระหว่างสิ่งหะล้าล และสิ่งหะรอม

          ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ผู้ใหญ่คือแบบอย่างของเด็ก ถ้าหากว่าเป็นแบบอย่างที่ดีก็จะเป็นการดำรงวัฒนธรรมอิสลามเอาไว้ แต่หากว่าเป็นแบบอย่างที่ฉีกตัวออกจากหลักการที่ถูกต้องของอิสลามแล้วเยาวชนนำไปเลียนแบบ ก็จะเป็นมุสลิมสายพันธ์ใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย หรือที่เรียกกันว่ามุสลิมสมัยใหม่...

 อ.มุนีร มูหะหมัด