สายใยแห่งศรัทธา เอกภาพที่สูงสุด
  จำนวนคนเข้าชม  5057

สายใยแห่งศรัทธา ตอน  เอกภาพที่สูงสุด


      แท้จริงมวลการสรรเสริญจากทุกสรรพสิ่งเป็นกรรมสิทธิ์แด่องค์อัลลอฮ  ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง และขอความสันติสุข ความเมตตาของพระองค์จงประสบแด่ท่านศาสนทูตผู้ทรงเผยแผ่สัจธรรมที่เที่ยงตรงด้วยเถิด

      ในครั้งก่อนหน้านี้เราได้มาทำความเข้าใจกันในเรื่องการศรัทธาในรูปแบบโดยรวมโดยไม่ได้เข้าถึงรายละเอียดของแต่ละหัวข้อ  ดังนั้นการกลับมาพบกันในครั้งนี้เราจะได้มาทำความเข้าใจอย่างละเอียดของแต่ละหัวข้อ  ในครั้งนี้เราจะมาทำความเข้าใจอย่างละเอียดในเรื่องของการศรัทธาต่อพระเจ้าและแนวทางการศรัทธาที่ถูกต้องตามบรรทัดฐานแห่งอัล-อิสลาม

       การศรัทธาที่ถูกต้องในการยอมรับว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้านั้นมีองค์ประกอบอยู่ ๔ ประการด้วยกัน

ประการที่ ๑ การศรัทธาในการมีอยู่จริงของพระองค์อัลลอฮ์  นั้นรับรู้ได้จาก ๔ แนวทางด้วยกัน

แนวทางที่ ๑ ทางด้านความบริสุทธิ์ที่ได้รับจากการคลอด เพราะทุกๆสิ่งนั้นได้เคยศรัทธาต่ออัลลอฮ์มาก่อนแล้วก่อนที่จะได้รับอิทธิพลการสั่งสอนหลักจากเปิดตามาดูโลกด้วยกับน้ำมือพ่อแม่ของเขา  ดั่งเช่นท่านศาสนทูตได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า               

لقول النبي صلىالله عليه وسلم أمامن مولود إلاويولد على الفطرة فأبواه يهودانه أو ينصرانه أو يمجسانه  رواه البخاري كتاب الجنائز باب ما قيل فى أولاد المشرك رقم 1319 

ความว่า : ไม่มีทารกคนใดที่คลอดออกมานอกเสียจากเขานั้นได้เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ดังนั้นบิดามารดาของเขา จะทำให่เขาเป็นชาวยะฮูด หรือ ชาวนัสรอนี (คริสต์) หรือ ชาวมะยูซี (บูชาไฟ) รายงานโดย อัลบุคอรีย์ ๑๓๑๙

แนวทางที่ ๒ ทางด้านสติปัญญา แท้จริงมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ต่างให้เกียรติ และยอมรับความเป็นเลิศของมันสมองที่น้อยนิดแต่สิ่งนี้สามารถค้นคว้า และประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ด้วยความเลิศหรู ตามที่มนุษย์กล่าวขานกันเอาไว้ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นต่างมีข้อผิดพลาดหลายประการที่พวกเขาไม่รู้ 

      ตัวอย่างเช่น  การประดิษฐ์สิ่งที่ยากมากที่สุดในยุคนี้นั้นก็คือ คอมพิวเตอร์และข้อมูลต่างๆของมัน มนุษย์ต้องเสียเวลาไปกับการสร้างขึ้นมาและต้องทดลองแก้ไขกันอยู่ร่ำไป จากส่วนต่างๆของคอมพิวเตอร์และข้อมูลของมัน เพราะพวกเขารู้ว่ามันยังคงขาดความสมบูรณ์เสมอ ดังเช่นนี้แล้วเราลองมาคิดกันดูสิว่า การมีอยู่ของทุกๆสรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรถ้าหากไม่มีการสร้างเกิดขึ้นจากผู้รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ผู้ทรงมีความสามารถที่สมบูรณ์ที่สุด

        ตัวอย่างถัดมา คือ  มนุษย์ทุกคนยอมรับว่าท้องฟ้านั้นเป็นสิ่งสวยงามเสมือนกับผืนแผ่นดินที่มีความสวยงาม และเปรียบไปด้วยความลึกลับซับซ้อนในระบบของมันทั้งสอง  สติปัญญาที่สมบูรณ์จะรับรู้ได้ทันที และจะเกิดคำถามตามมาว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นผู้สร้าง?  ต่อมาเขาก็รู้ซึ้งอีกว่าโลกนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตในหลากหลายรูปแบบที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัยคำถามก็เกิดขึ้นมาอีกว่า ในความหลากหลายนั้นใครเป็นผู้กำหนด หรือเรียบเรียงรูปแบบไว้ให้?หรืออื่นๆจากคำถามเหล่านี้

        ดังนั้นเมื่อเกิดคำถามขึ้นมาในสติปัญญาของเรา สติปัญญานั้นก็จะไม่อยู่นิ่ง นอกเสียจากจะหาคำตอบจากโจทย์ข้างต้นด้วยความขะมักเขม้น เพื่อจะนำไปสู่ความรู้ที่มีค่าแก่ชีวิตของพวกเขาคำตอบที่ได้รับจากสติปัญญาที่ดีนั้นต่างตอบเช่นเดียวกันว่า ทุกๆสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นั้นเป็นของถูกสร้างจากสิ่งที่ไม่เคยมีทั้งสิ้น ถ้าหากเช่นนี้ก็ต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน ถึงแม้นคำตอบที่ได้รับนั้นจะถูกต้องเพียงใดแต่ก็ยังมีมนุษย์จำพวกหนึ่งที่พวกเขายังคงปฏิเสธการสร้างของพระเจ้ารวมทั้งการปฏิเสธว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริง

      เป็นที่น่าแปลกใจเสียจริงกับมนุษย์จำพวกนี้ ที่พวกเขาต่างศึกษาค้นคว้าความรู้ต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในโลกและระบบอื่นๆ อย่างถ่องแท้ แต่พวกยังคงดื้อรั้น และปฏิเสธอย่างหน้าตาเฉย  ประหนึ่งว่าคนจำพวกนี้เปรียบเสมือนกับชายผู้หนึ่งที่หิวโซ  ได้เจอสำรับอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด เมื่อเขาได้รับประทานจนอิ่มเขาก็เกิดความสงสัยว่าอาหารมื้อนี้มันมาจากไหน ใครเป็นผู้ปรุงขึ้นมา?  เมื่อนั้นเขาก็ได้ตามหาเจ้าของอาหารที่อร่อยนี้เพื่อขอบคุณแต่เมื่อเขาได้ตามหาจนเจอเจ้าของอาหารนี้เขากลับบอกแก่เจ้าของอาหารนี้ว่า “นี่ไม่ใช่อาหารของท่าน ท่านไม่ใช่ผู้ปรุงอาหารนี้ขึ้นมา อาหารที่ฉันได้รับประทานไป เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือไม่ก็บังเอิญเกิดขึ้นมาให้แก่ฉันเอง” คำถามของชายผู้นี้เหมาะสมหรือไม่กับคำตอบของเขาที่ได้ตอบออกไปให้กับเจ้าของอาหารนั้น แน่นอนเหลือเกินเมื่อทุกท่านได้ติดตามความเป็นจริงแล้ว ท่านจะรู้สึกบางอย่างกับชายหิวโซผู้นี้ในทิศทางที่น่าจะ....! ถ้าหากท่านเป็นเจ้าของอาหารมื้อนั้น

      และดั่งเช่นนี้ที่มีมนุษย์บางพวก ออกมาเรียกร้องมนุษย์ด้วยกันในการร่วมกันปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยกับหลักฐานนานาประการที่พวกเขาต่างก็รับรู้ ถึงความมหัศจรรย์ ของการมีอยู่จากสิ่งเหล่านั้น  กับคำพูดที่อ้างกันว่า “ธรรมชาติสร้างขึ้น”  “บังเอิญเกิดขึ้นมา” ทั้งๆที่พวกเขาได้ปฏิเสธในมุมลึกๆของคำพูดพวกเขาเอง เนื่องจากคำพูดที่พวกเขาแอบอ้างนั้นไม่กินกับสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ 

          เช่น หากมีผู้หนึ่งได้กล่าวมาว่า “เป็นผู้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้สร้างตัวของมันขึ้นมาเอง  ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็คือผู้สร้าง" เราจึงไม่ต้องไปจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าใครเป็นผู้สร้างเพราะเราคือผู้สร้างที่แท้จริงส่วนเรื่องพระเจ้าที่ถูกอ้างนั้นเป็นแค่ความคิดที่น่าแปลก   เพราะเนื่องจากพระเจ้าไม่มีตัวตน ดังนั้นสิ่งที่ไม่มีตัวตนนี้เองที่ทำให้หลายๆคนบนโลกใบนี้ถึงกับต้องยอมรับพร้อมกับปฏิเสธต่อพระผู้เป็นเจ้า   ช่างน่าอนาถเสียเหลือเกิน  ดังนั้นเราจะมาทำความเข้าใจกัน จากข้อสรุปในคำพูดที่ผ่านมาด้วยกับข้อสรุปที่ว่า  “ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากธรรมชาติจะเป็นผู้สร้าง หรือไม่เช่นนั้นก็ มันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญจากระบบของธรรมชาติ”

คำถามเพื่อพิสูจน์ว่า อะไร คือ ความจริง และ อะไร คือ ธรรมชาติ ??

     ธรรมชาติ คือ  สรรพสิ่งต่างๆที่มีจุดประสงค์เฉพาะในตัวของมันเอง เช่น ความหนาว ความร้อน ความชื้น ความแห้ง  และยังมีสรรพสิ่งที่ต้องการรวมตัวเช่น โปรตรอน นิวตรอน อิเลกตรอน  สิ่งเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า อะตอม ความจริงจากสิ่งเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่ถูกให้เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆกันและพึ่งพาซึ่งกันและกัน แล้วมันจะสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกสร้างเกิดขึ้นใหม่ อยู่เสมอ และพร้อมที่จะสลายได้ จึงไม่ถูกเรียกว่าผู้สร้างแต่ถูกเรียกว่าสิ่งถูกสร้าง

    สรุปธรรมชาติคือ สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่และมีวิวัฒนาการในตัวของมันด้วยความสามารถเฉพาะตัวและสาเหตุต่างๆที่อยู่ในตัวของมัน ดังนั้นสาเหตุนี้จะต้องมีผู้สร้างขึ้นมาก็คือ อัลลอฮ์  พระเจ้าผู้ทรงถาวร ไม่มีจุดเริ่มและจุดจบ ซึ่งมิได้เหมือนกับธรรมชาติต่างๆ ที่มีวันเกิดขึ้นและดับสลายไปอยู่เสมอ  มหาบริสุทธิ์แด่พระผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่ง

 คำถามเพื่อพิสูจน์ ความจริง ว่า  “อะไรคือความจริง”   “อะไรคือความบังเอิญจาการเกิดขึ้น?”

     ความบังเอิญคือ  การรวมตัวกันเพื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปลักษณ์ที่สวยงามและมีระบบ ระเบียบ จากความเหมาะสมไม่ใช่การตั้งใจให้เกิดขึ้น  หรือการเรียบเรียงให้เกิดขึ้น หรือการบงการให้เกิดขึ้น  เราลองมาดูกันสิว่า เรื่องน่าขบขัน และเต็มไปด้วยความแปลกต่อไปนี้จะทำให้ใครหัวเราะได้บ้าง

  “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งเขาได้หลงทางเข้ามาในสวนแห่งหนึ่งซึ่งมีพืชพันธุ์ต่างๆนานา ชนิดที่อุดมสมบูรณ์ และเขาก็ได้เหลือบมองไปเห็นบ้านหลังหนึ่งในสวนแห่งนั้น ที่สวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งมีอุปกรณ์ตบแต่งบ้านที่ทันสมัย มีเสบียงอาหารที่สมบูรณ์ และอื่นๆ เขาจึงอาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้โดยยึดสิ่งที่มีอยู่ในสวนทั้งหมดเป็นของตัวเอง แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งมีชายแปลกหน้าได้เปิดประตูบ้านของเขาเข้ามา และมีอาการโกรธมาก!

และชายผู้ที่กำลังโกรธมากก็ได้ถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร?” 

ชายหลงทางจึงตอบ  ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้

ชายผู้มีสภาพโกรธถามต่อ  แล้วท่านได้บ้านหลังนี้มาได้อย่างไร?

ชายหลงทางจึงตอบว่า “อยู่มาวันหนึ่งฉันเดินทางมาเจอที่นี่ ซึ่งมีสภาพอากาศแปรปรวนจนนำให้กลุ่มหมอกควัน และฝุ่นต่างๆ หมุนมารวมตัวกันแล้วเกิดการระเบิดเกิดขึ้นจนทำให้เกิดสวนและบ้านหลังนี้ขึ้นมา อย่างบังเอิญ ฉันจึงได้พบเหตุการณ์นี้เป็นคนแรกจึงเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของมัน”

ชายหลงทางถามกลับ  “ท่านเป็นใคร? มาจากไหนมาทำอะไรในบ้านของฉัน?”

ชายผู้โกรธจึงตอบว่า “ ฉันเป็นนายตำรวจที่พึ่งเกษียณราชการเมื่อตอนเช้านี้เองแล้วก็กลับมาจากโรงพัก  ส่วนที่จะมาทำอะไร ก็คือฉันจะมาพาตัวท่านไปโรงพักกับฉัน  เพื่อท่านจะได้บังเอิญนอนในห้องขังเสียบ้าง!”

     ดังนั้นนิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่าความบังเอิญเป็นจำเลยของสังคมที่จะต้องสมควรได้รับโทษของเขา  เสมือนผู้ที่อ้างว่าโลกนี้นั้นเกิดขึ้นมาอย่างบังเอิญในรูปลักษณ์ที่สวยงาม  มีระบบระเบียบที่เหมาะสม  มีการกำหนดที่ตายตัว  มันช่างน่าแปลกเสียจริง ว่าเขาเอาอะไรมาคิด นี่หรือคือสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่าสมอง.....?   

       ถ้าหากเช่นนั้นแล้ว โลกนี้ก็ต้องมีผู้สร้างโดยมีความประสงค์และความรู้ที่สร้างอย่างถูกต้อง  จึงทำให้โลกนี้นั้น ถูกสร้างมาในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด  และผู้สร้างผู้นี้ก็คือ อัลลอฮ  ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง

    จากเรื่องเล่าทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องสนุกๆแต่เป็นเป็นสิ่งที่มีค่ากับชีวิตของพวกท่านทุกคน ดังนั้นข้อสรุปที่ได้รับก็คือ

• อัลลอฮ์ เป็นผู้สร้าง ดังนั้นผู้สร้างต้องมีตัวตนอยู่จริง ถึงแม้นว่าไม่สามารถมองเห็นตัวตนได้  เสมือนกับ การมีอยู่ของน้ำมันในกะทิ ที่เรามองไม่เห็น แต่อัลลอฮทรงยิ่งใหญ่กว่า และสมบูรณ์กว่าสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ

 • ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเองซึ่งประกอบกับสิ่งต่างๆ และวันเวลาที่ผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างจึงสมบูรณ์และลงตัว  เสมือนที่กล่าอ้างว่า มนุษย์เกิดมาจากการ วิวัฒนาการของสิ่งในยุคอดีต (ช่างน่าขำเหลือเกิน)

• ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นี้ไม่มีผู้สร้างแต่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญทั้งสิ้น

       จากข้อสรุปทั้งสามประการ ท่านทั้งหลายคงจะเห็นแล้วว่า ไม่มีคำตอบประการใดที่จะเหมาะสมมากที่สุด นอกจากคำตอบที่ได้จากประการที่หนึ่งอย่างแน่นอน  ส่วนคำตอบอื่นๆนั้นเป็นสิ่งที่สติปัญญานั้นไม่ยอมรับเพราะเป็นไปไม่ได้ เช่น สิ่งที่อยู่ในกรงของสวนสัตว์เป็นหลายสิบปีไม่เคยเปลี่ยนสภาพมาเป็นมนุษย์แม้แต่ครั้งเดียวทั้งๆที่มันนั้นมีการเรียนรู้อารยธรรมจากมนุษย์มาโดยตลอด ดังเช่นในทะเลทรายแห่งคาบสมุทรอาหรับไม่เคยบังเอิญเกิดขึ้นมาเป็นตึกราบ้านช่องที่หรูหราเลย แม้แต่ศตวรรษเดียวนอกเสียจากต้องทุ่มเงินเป็นหลายล้านบาทเท่านั้นจึงจะเกิดเป็นเมืองใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ

      จากคำตอบประการที่หนึ่งนั้นคือสิ่งที่สติปัญญาทุกคนยอมรับและพิสูจน์ได้  ด้วยกับความรู้สึกในจิตใต้สำนึกของทุกๆคน และสุดท้ายก่อนจะจากกันในครั้งนี้นั้น ผู้เขียนจะนำโองการต่างๆที่อัลลอฮ์ กล่าวแก่มนุษยชาติว่า พระองค์คือ พระเจ้าของทุกๆสรรพสิ่งและเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง ทั้งสิ้น เพื่อเป็นหลักฐานความเชื่อของพวกท่านจะได้มั่นคงแข็งแรง โดยที่ไม่มีความคิดใดๆมาทำลายลงไปได้  หวังว่าพวกท่านจะนำไปจดจำ และเปิดเผยต่อสาธารณชนอื่นๆด้วย และที่สำคัญ ที่อยู่ใกล้ชิดท่านนั้นย่อมสมควรได้รับก่อนหน้าใครทั้งสิ้น

ความว่า : แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้นคือ อัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน  แล้วทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ พระองค์ทรงให้กลางคืนคลอบคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว  และทรงสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้ทำหน้าหน้าที่บริการตามพระบัญชาของพระองค์ พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก    (อะอฺรอฟ : 54 )


ความว่า : และพระองค์คือผู้ส่งลมมาเป็นข่าวดี เบื้องหน้าความเอ็นดูเมตตาของพระองค์จนกระทั่งเมื่อมันได้แบกเมฆอันหนักอึ้งไว้ เราก็นำมันไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น ( อะอฺรอฟ : 57 )

     เมื่อท่านได้รู้ถึงการบอกกล่าวของอัลลอฮว่าพระองค์เป็นผู้สร้างแล้วนั้น ลองรับฟังคำถามที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยของพระองค์ ต่อมนุษย์บางกลุ่มที่ปฏิเสธต่อพระองค์ เพื่อเป็นการขจัดสนิมแห่งความสงสัยในหัวใจของพวกท่าน  เพื่อให้หัวใจดวงนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา

أَمْ خُلِقُوا مِنْ غَيْرِ شَيْءٍ أَمْ هُمُ الْخَالِقُونَ (٣٥)أَمْ خَلَقُوا السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ بَل لا يُوقِنُونَ (٣٦)
أَمْ عِنْدَهُمْ خَزَائِنُ رَبِّكَ أَمْ هُمُ الْمُسَيْطِرُونَ (٣٧)

ความว่า  : หรือพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด  หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินนี้ เปล่าเลย  เพราะพวกเขาไม่เชื่อมันต่างหาก หรือว่าพวกมนุษย์เขามีขุมทรัพย์ แห่งพระเจ้าของเจ้า  หรือว่า พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจจัดการ (อัฏฏูร :35-37)

أَمْ لَهُمْ إِلَهٌ غَيْرُ اللَّهِ سُبْحَانَ اللَّهِ عَمَّا يُشْرِكُونَ (٤٣)


ความว่า : หรือว่าพวกเขามีพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี (อัฏฏูร : 43 )

    ท้ายที่สุดนี้หวังว่า ทุกท่านคงได้รับความเข้าใจในบางคำถามจากชีวิตของพวกท่านเป็นอย่างดี  และในโอกาสหน้าเราจะมาพบกันอีกเพื่อหาความรู้ต่อไปบนแนวทางที่ถูกต้อง  อินชาอัลลอฮ ขอพระองค์อัลลอฮ์ ทรงคุ้มครองพวกท่านด้วยเถิด................อามีน


โต๊ะใบ