لا إله إلا الله
  จำนวนคนเข้าชม  3960

لا إله إلا الله

ความหมาย ของคำกล่าวปฏิญาณตน

           ในภาษาอาหรับ คำว่า อิลาฮ์ หมายถึง “สิ่งที่ถูกเคารพสักการะ” เพราะความยิ่งใหญ่และอำนาจทำให้ผู้คนต้องก้มศรีษะสักการะและยอมจำนน สิ่งใดหรือผู้ใดก็ตามที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจจะถูกเรียกว่า อิลาฮ์ ด้วยเช่นกัน และยังรวมถึงการมีอำนาจอย่างไร้ขอบเขต

           ในทางตรงกันข้าม คำว่า อัลลอฮ์   เป็นนามของพระเจ้า คำกล่าวที่ว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ นั้นโดยภาษาแล้วหมายความว่า “ไม่มี อิลาฮ์ อื่นใดนอกไปจากผู้ยิ่งใหญ่เพียงองค์เดียวที่รู้จักกันในชื่อว่า อัลลอฮ์” หมายความว่าในทั่วจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรจะได้รับการเคารพสักการะนอกไปจาก อัลลอฮ์  นั่นคือพระองค์เท่านั้นที่มนุษย์จะก้มศรีษะให้และยอมจำนน เทิดทูนพระองค์เท่านั้นที่ทรงมีพลังอำนาจ พระองค์เท่านั้นที่เราต้องการความโปรดปรานและเราต้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์อยู่เหนือประสาทสัมผัส และสติปัญญาไม่อาจหยั่งถึงได้ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร

           จากประวัติศาสตร์เศษชิ้นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่ เราสามารถหาได้ว่าในทุกยุคสมัย มนุษย์ได้ยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างและเคารพสักการะสิ่งเหล่านั้นจนกระทั่งปัจจุบัน นับตั้งแต่ชาติดึกดำบรรพ์ไปจนถึงชาติที่ก้าวหน้าที่สุด ยังคงเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพบูชาสิ่งเหล่านั้น การมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ในสามัญสำนึกของมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าภายในจิตวิญญาณของมนุษย์มีบางสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องทำเช่นนั้น

            แต่คำถามคือ สิ่งนั้นคืออะไรและทำไมมนุษย์จึงรู้สึกว่าจะต้องทำเช่นนั้น  คำตอบต่อคำถามนี้สามารถที่จะพบได้ถ้าหากดูที่ฐานะของมนุษย์ในจักรวาล มนุษย์และธรรมชาติไม่ได้มีความสามารถอะไรเลย เขาต้องการบางสิ่งและเขาไม่ได้เกิดขึ้นเอง อำนาจของเขามีขีดจำกัด ความจริงแล้วเขาอ่อนแอ และต้องการความช่วยเหลือ

          มนุษย์และธรรมชาติต้องอาศัยพลังเพื่อรักษาการดำรงอยู่ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจ และในบางครั้งยังพบว่าตัวเขาเองขาดแคลนพลัง มีสิ่งสำคัญและสิ่งมีค่าหลายอย่างที่มนุษย์พยายามจะทำให้ได้ บางครั้งสำเร็จและบางครั้งล้มเหลว เพราะมนุษย์ไม่มีอำนาจโดยสมบรูณ์ มีหลายสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องได้รับบาดเจ็บ และชั่วขณะอุบัติเหตุได้ทำลายงานที่ทำมาตลอดชีวิตความหวังต้องจบสิ้นลง การเจ็บไข้ได้ป่วย ความวิตกกังวลและ อุบัติภัยข่มขู่คุกคามและขัดขวางความสุขอยู่เสมอ มนุษย์พยายามที่จะขจัดสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ประสบความล้มเหลว

            มีสิ่งยิ่งใหญ่หลายสิ่งที่ทำให้ต้องสะพรึงกลัว เช่น ภูเขา แม่น้ำและสัตว์ใหญ่ที่ดุร้าย เป็นต้น การประสบกับแผ่นดินไหว พายุและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ  เมฆที่ลอยอยู่เหนือหัวและมันกลายเป็นก้อนหนามืดทึบ หลังจากนั้นมีแสงฟ้าแลบและเสียงร้องคำรามกึกก้องแล้วมีฝนเทลงมาอย่างหนัก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวและเมื่อคิดถึงความยิ่งใหญ่ ความทรงพลังของสิ่งเหล่านี้แล้วหันมามองตัวเอง เราจะพบว่าตัวเราช่างอ่อนแอและไร้ความสำคัญเสียนี่กระไร

         เมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ดังกล่าวแล้ว ทำให้มีความรู้สึกถึงความอ่อนแอและความต่ำต้อยของตัวเอง และมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สามัญสำนึกในเรื่องพระเจ้าจะเข้ามาในความรู้สึก เราคิดถึงอำนาจที่คอยควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ และความรู้สึกนี้ที่ทำให้เราต้องขอความช่วยเหลือวิงวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อยังประโยชน์และขณะเดียวกัน เราก็เกรงกลัวและพยายามที่จะวิ่งหนีจากความกริ้วโกรธเพื่อจะได้ไม่ทำร้ายเรา

           ในยุคอวิชชามนุษย์คิดว่าวัตถุยิ่งใหญ่ตามธรรมชาติมีอำนาจที่แฝงอยู่ในตัวของมัน มนุษย์คิดว่ามันเป็นพระเจ้า ดังนั้น จึงเคารพบูชาต้นไม้ สัตว์ แม่น้ำ ภูเขา ไฟ ฝน อากาศ ดวงดาวในท้องฟ้าและวัตถุอื่น ๆ มากมาย ซึ่งถือเป็นที่มาของความงมงาย

          เมื่อความอวิชชาแพร่ขยายไปสักระยะหนึ่ง ประกายแห่งแสงสว่างและความรู้ก็ปรากฏขึ้น มนุษย์เริ่มรู้ว่าวัตถุที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวของมันเองได้และมันยังต้องขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นอีก  สัตว์ใหญ่และแข็งแรงตายเหมือนหนอนตัวเล็ก แม่น้ำมีขึ้นมีลงและเหือดแห้ง ภูเขาสูงใหญ่ถูกขุดและทำลาย ผลผลิตมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของโลก และหากขาดน้ำ ผืนดินก็แห้งแล้ง แม้แต่น้ำเองมิได้เป็นอิสระขึ้นอยู่กับก้อนเมฆ อากาศไม่มีอำนาจและประโยชน์ของมันต้องอาศัยสาเหตุอื่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาว ขึ้นอยู่กับกฎอันทรงอำนาจ หากปราศจากกฎเกณฑ์นี้ก็ไม่สามารถโคจรได้แม้แต่นิดเดียว

          หลังจากการพิจารณาสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เริ่มคิดว่าน่าจะมีอำนาจลึกลับอันยิ่งใหญ่ที่เหนือธรรมชาติคอยควบคุมและเป็นที่รวมอำนาจของสิ่งต่างๆ ความคิดเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความเชื่อ ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต้องมีอำนาจเร้นลับของเทพเจ้าคอยควบคุมอยู่ ดังนั้นจึงได้สร้างรูปหรือสัญลักษณ์ทางวัตถุขึ้นเป็นตัวแทนเทพเจ้าและเคารพบูชารูปและสัญลักษณ์เหล่านี้ นี่คือความงมงายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ แม้จะมาถึงยุคแห่งสติปัญญาและความเจริญสูงสุดเช่นปัจจุบันแล้วก็ตาม

          เมื่อมนุษย์เจริญก้าวหน้าในการเรียนรู้และเมื่อยิ่งตรึกตรองลึกลงไปถึงปัญหาสำคัญของการดำรงอยู่ จึงได้พบกับกฎที่ทรงพลังอำนาจ และควบคุมทุกสิ่งในจักรวาล มนุษย์ฉงนต่อการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ในลมและฝน ในการโคจรของดวงดาวต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ฉงนต่อสิ่งที่ทำให้พลังต่าง ๆ มากมายนี้ทำงานร่วมกันอย่างประสมกลมกลืน และฉงนต่อสิ่งที่ทำให้จักรวาลต้องทำงานร่วมกันในเวลาที่ถูกกำหนดไว้เพื่อก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นพร้อมกัน การสังเกตถึงความกลมกลืน และการยอมเชื่อฟังโดยสิ้นเชิงต่อพลังอันยิ่งใหญ่ในทุกด้านของธรรมชาตินี้เอง ที่ทำให้แม้คนที่บูชาเทวรูปก็ต้องเชื่อว่าจะต้องมีพระเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุดผู้หนึ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นๆทั้งหมด เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดนี้ เพราะหากมีเทพเจ้าหลายองค์แล้ว กลไกทั้งหมดของจักรวาลจะต้องเกิดความโกลาหลปั่นป่วนอย่างแน่นอน

           เขาเรียกพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ด้วยชื่อต่างๆ นานา แต่เมื่อความงมงายยังคงดำรงอยู่ เขาก็ยังเคารพบูชาเทพเจ้าเล็กๆควบคู่ไปกับพระเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุด เขาจินตนาการว่าอาณาจักรของพระเจ้าไม่แตกต่างไปจากโลกนี้ เขาคิดว่าถ้าผู้ปกครองต้องมีเสนาบดี มีตัวแทน และมีเจ้าหน้าที่ต่างๆ เทพเจ้าก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ซึ่งหากใครไม่เซ่นไหว้เจ้าหน้าที่เหล่านี้แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระองค์ได้ ดังนั้นจะต้องเคารพสักการะและวิงวอนขอความช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เทพเจ้าจึงถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเป็นตัวแทนหรือนายหน้านำพาเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่

          ความคิดที่บิดเบือนในเรื่องพระเจ้าเช่นนี้ ยังเป็นที่ยึดถือกันมาโดยตลอด และยังมีอยู่ในหมู่ชนต่าง ๆ กระทั่งในปัจจุบัน


الكاتب : مرسلان محمد

โดย อ.มัสลัน มาหะมะ