เทศกาลวาเลนไทน์ เทศกาลของคนโง่เขลา
  จำนวนคนเข้าชม  8165

 

เทศกาลวาเลนไทน์ เทศกาลของคนโง่เขลา

 

โดย... อ.อิบรอเฮม และซัน

 

 

          ท่านศรัทธาชนที่เคารพรักทั้งหลาย ก่อนอื่นใคร่ขอตักเตือนท่านทั้งหลาย และตัวของกระผมเอง จงพยายามยืนหยัดตั้งมั่นอยู่ในความยำเกรง ตักวาต่ออัลเลาะห์ ของเราให้มาก ๆ เถิด โดยพยายามประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่พระองค์ทรงใช้ และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม 

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ สิ่งที่เราจะต้องเป็นห่วงเป็นใย ต่อลูกหลานของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพย์ติด เรื่องการเรียนการศึกษา ในปัจจุบันนี้ เยาวชนของเราเป็นผู้ที่หูตาไว เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่พวกเขารับรู้กันว่าจะมีเทศกาลหนึ่ง เป็นสิ่งที่พวกมารชัยตอนต้องการ อาจเรียกได้ว่าเป็น "เทศกาลซินา" ของคนทั่วโลกก็ว่าได้ เป็นแบบฉบับของพวกที่มิได้เป็นมุสลิม แต่ที่จะขอนำมาเป็นประเด็นในครั้งนี้ เนื่องจากว่า เราทุกคนต่างมีลูกหลานที่เป็นเยาวชน กำลังศึกษาเล่ารียนในทุกระดับ ไม่ว่าชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย หรือระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเหล่านั้น หากไม่ได้ศึกษาในเรื่องของศาสนาอย่างเพียงพอ แน่นอนอิหม่านของเขาไม่เข้มแข็ง เขาจะได้รับวัคซีนสำหรับชีวิตของเขาให้พ้นจากอบายมุขได้อย่างไร ?

 

          สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราเต็มไปด้วยอบายมุข ตั้งแต่ออกจากประตูบ้านจะพบแต่อบายมุขมากมาย เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมาก หากอิหม่านอ่อนแอ เขาจะกระทำในเรื่องที่ขัดกับหลักศาสนา เดือนนี้เยาวชนจะสนใจกันมากเพราะมีเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งไม่ใช่เป็นเทศกาลของอิสลาม มันเป็นเทศาลของชัยตอน ที่สร้างปัญหาให้กับคนทั่วโลก ในเรื่องการทำซินา ตามมาด้วยการทำแท้ง  เราในฐานะมุสลิม ขอให้มีความเป็นห่วงเป็นใยในลูกหลาน อย่าได้ตามกระแสเป็นอันขาด 

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ มุสลิมสมัยนี้ เขาอาจจะคิดว่าเขามีความเจริญก้าวหน้า เทคโนโลยีเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา แต่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของอิสลาม ตามคำสั่งของอัลลอห์  มิใช่จะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงบทบัญญัติของอัลลอห์  ใครก็ตามที่ละเมิดเขาจะประสพกับหายนะ จะเสียหายทั้งโลกนี้และโลกหน้า แม้ว่าเขาจะคิดว่าเขาเจริญแล้วจะสนุกอย่างไรก็ได้ เช่น จะไม่เกิดการตั้งท้องขึ้นเพราะมียาคุมกำเนิดใช้ หรือ สามารถทำแท้ง หรือยอมทิ้งลูกที่คลอดออกมาลงถังขยะ  นี่คือการย้อนสู่ยุคญาฮีลียะห์ สมัยที่นบีเริ่มประกาศศาสนาใหม่ๆ มีการฝังลูกทั้งเป็น มีการทำซินา ดื่มเหล้า สารพัดความเลวร้าย ดังนั้นคนที่ใช้ชีวิตตามแบบฉบับของซัยตอน ย่อมหมายถึงเขาได้ย้อนสู่ยุคญาฮีลียะห์ก็ว่าได้ 

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ เมื่อเราพิจารณาดูถึงการกระทำของมนุษย์เราทุกวันนี้ เราก็จะพบได้ว่า ส่วนใหญ่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของตนเองก็ดี หรือเป็นอันตรายต่อครอบครัวและสังคมส่วนใหญ่ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของศาสนาทั้งสิ้น แต่มนุษย์ก็ยังกระทำกัน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเคยชิน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีการแนะนำตักเตือนกันอย่างจริงจัง เช่น การพนัน ดื่มเหล้า เสพยาเสพติด การทำซินา ล่วงละเมิดประเวณี รวมทั้งการรักร่วมเพศ สำส่อน ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้หญิงชาย คบค้าสมาคมกันในลักษณะรักเสรี ชู้สาวอย่างอิสระ จนทำให้เกิดโรคร้ายขึ้นมา ที่ยังหายามาบำบัดรักษาไม่ได้ กลายเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ผู้ป่วยเองก็หมดหวัง หมดอนาคตในการดำเนินชีวิต เป็นภาระของครอบครัวของสังคม โรคร้ายดังกล่าวนี้ก็คือ "โรคเอดส์" ซึ่งเป็นโรคที่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก และเป็นกังวลกันอย่างกว้างขวางและต่างพากันกล่าวโทษว่า แหล่งที่เกิดของโรคร้ายนี้มาจากทวีปอัฟริกาบ้าง บ้างก็ว่ามาจากยุโรป มีบางกระแสอ้างว่า เกิดขึ้นในทวีปเอเชียนี่เอง แต่ที่ชัดเจนและตรงกันก็คือ สาเหตุของโรคนี้ คือเกิดจากสำส่อนทางเพศระหว่างชายหญิง ไม่ว่า จะเป็นซินาระหว่างหญิงกับชาย หรือการร่วมเพศระหว่างชายกับชายด้วยกัน ที่เรียกว่าโรควิตถาร ไม้ป่าเดียวกัน  การติดต่อการระบาดของโรคนี้มีอยู่สองทางด้วยกัน คือ การร่วมเพศ และการถ่ายเลือดจากคนที่เป็นโรคนี้ไปยังผู้อื่น 

 

           ในฐานะของความเป็นมุมิน ผู้ที่ศรัทธามั่นต่ออัลลอห์ ขอให้เราหันมาพินิจบทบัญญัติของพระองค์อัลลอฮ์  ว่า ได้ห้ามปราม และชี้ให้เห็นซึ่งภัยไว้อย่างไรบ้าง ซึ่งในคัมภีร์อัลกุรอาน พระองค์ทรงตรัสว่า 


" และพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี การซินา แท้จริง มันเป็นการลามก และเป็นหนทางอันชั่วช้า"


          จะเห็นว่าการที่อัลเลาะห์  ตรัสว่า จงอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี นั้นมีความหมายมากกว่า การห้ามผิดประเวณี เพราะไม่ว่าในลักษณะใดก็ตามที่มีสภาพเป็นสื่อ ที่จะนำพาไปสู่การผิดประเวณีก็ถูกห้ามเสียแล้ว ประหนึ่งเป็นการตัดทอนแต่ต้นเหตุ อย่างเช่น การยั่วยุเพศตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการนุ่งสั้น นุ่งน้อยห่มน้อย การสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ หรือรัดรูป เน้นจุดเย้ายวนให้เด่นล่อสายตาเพศตรงข้าม อย่างที่สังคมโลกกำลังนิยมตามกระแสอยู่ในทุกวันนี้ ทำให้เกิดการสนใจจับจ้องมองจนทำให้เกิดอารมณ์ หรือการอยู่ปะปนกันของหญิงชาย จับต้องกอดรัด โดยใช้คำว่าศิลปะ การเต้นรำเป็นข้ออ้างที่ไม่อาจหลีกพ้นเจตนาทางเพศได้เลย รวมทั้งวิธีการอื่นๆ ไม่ว่าการละเล่น การบันเทิงที่ไร้สาระต่างๆ 

 

ท่านนบี  กล่าวไว้ ตามรายงานของมุสลิม จากท่าน อบูฮุรอยเราะห์ ว่า

 
كُتِبَ عَلَى ابْنِ آدَمَ ن َصِيْبُهُ مِنَ الزِّنَا مُدْرِكٌ ذلِكَ لاَمَحَالَةُ : الْعَيْنَانِ زِنَاهُمَا النَّظَرُ ، والرِّجْلُ زِنَاهُمَاالْخُطَا ، والْقَلْبُ يَهْوَى وَيَتَمَنَّى ، وَيُصَدِّقُ ذلِكَ الفَرْجُ أَوْيُكَذِّبُهُ
 

"ได้ถูกบันทึกไว้กับมนุษย์แล้วว่า ส่วนใดของเขาจากการทำผิดประเวณี ซินา นั่นคือ เขาต้องประสบกับสิ่งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

แท้จริงดวงตาทั้งสองข้างนั้น การทำซินาของมันคือการมองเพศตรงข้าม

หูทั้งสองข้าง การทำซินาของมันคือการฟังเรื่องที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

ลิ้น การทำซินาของมันคือ การพูดแต่สิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

มือ การทำซินาของมันคือ การสัมผัส จับต้องเพศตรงข้าม

เท้า การทำซินาของมันคือ การก้าวเดินเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมทางเพศ และ

จิตใจ การทำซินาด้วยการคำนึงถึง ใฝ่ฝันถึงในเรื่องทางเพศ และ

อวัยวะเพศจะเป็นผู้กระทำความจริงของมันให้ปรากฏ และทำให้สิ่งๆนั้นเป็นจริงขึ้นมา"

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ ท่านนบี  ได้กล่าวเรื่องนี้มากว่า 1400 กว่าปีแล้ว และพูดถึงการป้องกัน หรือตัดสื่อ ที่จะนำพาไปสู่การผิดประเวณี ซินาโดยตรงอย่างละเอียด แต่แล้วโลกมนุษย์เราที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้มีสติปัญญา ฉลาดกว่าสัตว์โลกอื่นๆ กลับเมินเฉยและหันหลังให้กับคำสอน คำชี้ทางจากศาสนาทูตแห่งอัลลอฮ์  จนส่งผลให้เกิดปัญหาในการอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิง โดยพากันแสดงออกทางเพศได้อย่างอิสระ อย่างไร้ความละอายต่อสิ่งใดหรือใครทั้งสิ้น มองเห็นการสำส่อนกันระหว่างเพศเป็นเรื่องธรรมดา แม้กระทั่งการทำรักร่วมเพศชายกับชาย และหญิงกับหญิง ในเรื่องนี้มีพฤติกรรมสอนใจตามที่ อัลลอฮ์  ตรัสบอกไว้เกี่ยวกับเรื่องกลุ่มชนในสมัยท่าน นบีลูฏ อลัยฮิสลาม ดังปรากฏถ้อยความใน ซูเราะห์อันนัมลุ سورة النمل อายะห์ที่ 54-55 ว่า

 

" และเจ้าจงรำลึกถึง ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า

พวกท่านกระทำการลามก สมสู่เสพสุขระหว่างชายด้วยกัน ทั้งๆที่พวกท่านรู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ?

แท้จริงพวกท่านสมสู่กับเพศผู้ชายด้วยกันด้วยตัณหาแทนผู้หญิงกระนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา "

 

          พฤติกรรมที่บัดสี เลวร้าย คือการสำส่อนทางเพศและสมสู่ร่วมเพศเดียวกัน เคยมีปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มาแล้ว ตามที่ได้หยิบยกจากการบอกกล่าวในอัลกุรอาน มายืนยันซึ่ง อัลลอฮ์  ได้ทรงชี้นำ ห้ามปราม จนกระทั่งใช้มาตรการห้ามเด็ดขาด ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด  เองก็ได้สั่งสอน สำทับ อย่างวจนะที่รายงานโดยท่าน อะห์หมัด และท่านอื่นๆจากการนำมาของท่าน ญาบิรว่า 

 

"แท้จริงที่น่ากลัวที่สุดของพฤติกรรมที่น่าวิตกว่า จะเป็นอันตรายมาสู่ประชาชาติของฉัน คือ พฤติกรรมเยี่ยงของชุมชน ลูฎ คือพวกที่นิยมสมสู่กับเพศชายด้วยกัน " 


         คำตักเตือนของท่านนบีมุฮัมมัด  ปรากฎเป็นภาพจริงขึ้นมาหรือยัง ? ท่านเป็นห่วงพวกเรา ท่านจึงได้ชี้นำให้ได้รู้ตัวก่อน ท่านทราบดีว่าหากพฤติกรรมของกลุ่มชนของท่านนบีลูฏ ได้ปรากฏขึ้นกับประชาชาติของท่าน อันตรายอะไรจะเกิดขึ้น แต่การป้องกันสาเหตุการเกิดโรคร้ายนั้น หลักการของอิสลามได้บอกไว้อย่างละเอียดแล้ว เพียงแต่ทุกวันนี้เรายังแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด เราป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากโรค แต่เราไม่ได้ป้องกันเหตุที่จะเกิดจากโรค กล่าวคือ เราต้องช่วยกันป้องกันการสำส่อนทางเพศ ป้องกันพฤติกรรมรักร่วมเพศให้ออกห่างจากสื่อที่จะนำพาไปสู่การผิดประเวณี เช่น การเปลือยกาย การแต่งกายล่อแหลม กวดขันสถานเริงรมย์ งดการอนุญาตมีสถานบริการทางเพศทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างเด็ดขาด ไม่ส่งเสริมให้จัดการประกวดความงาม อวดโชว์เรือนร่าง สัดส่วนของสตรี เพราะเป็นปัจจัยให้ยั่วยุให้เกิดความคึกคะนองทั้งเพศชาย และหญิง จนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้กล้าที่จะแสดง ออกอย่างไม่ละอายในทุกโอกาสและสถานที่ เป็นเรื่องของการสร้างภาวะไร้ยางอายโดยตรง 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ เรามีอีหม่าน การศรัทธา เรามีสำนึกความเป็นคน เรามีความเข้าใจถึงลักษณะของคนกับสัตว์ว่ามีข้อแตกต่างผิดแผกกันอย่างไร เราไม่ต้องการให้สถานเริงรมย์เลยเถิดไปจบลงด้วยการทำซินา สำส่อนทางเพศจนไม่รู้จักลูกเขา เมียใคร เราไม่ต้องการให้มีการโชว์ อวดสัดส่วนต่างๆของสตรีเพศ เพื่อเป็นสิ่งยั่วยุเพศตรงข้าม ไม่ใช่ว่าเราเปิดโอกาสให้ประชากรมีการสำส่อนทางเพศได้อย่างอิสระ แล้วเราก็มาหาทางกันว่าเราจะป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างไร ? การแก้ปัญหาอย่างนี้ เป็นการแก้ปัญหาของคนขาดปัญญา เหมือนกับว่าเราอนุญาตให้ประชาชนเอามีดมาบั่นคอ เชือดเนื้อกันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แล้วเราก็ช่วยกันหาทางโดยไม่ให้มีการเจ็บและตาย อย่างนี้หรือ ที่เรียกว่าการแก้ปัญหา 

           พวกเราเชื่อมั่นว่าโรคร้ายเป็นอันตรายต่อประชากรโลก ในขณะนี้เราสามารถป้องกันได้ แต่ต้องเป็นการป้องกันด้วยมาตรการที่ อัลเลาะห์  และ ร่อซู้ล  ชี้นำเอาไว้ ไม่ใช่แก้กันที่ปลายเหตุ ต้นเหตุมีมาอย่างไร ไม่พูดถึง อย่างนี้ไม่มีโอกาสจะแก้ได้เลย เพราะมนุษย์อย่างพวกเราไม่ยอมทำตนให้แตกต่างจากสังคม ยังคงยอมรับโดยเฉพาะสังคมตะวันตก ที่คอยบ่อนทำลายล้างเกียรติของคำว่ามนุษย์ ให้ค่อยๆ มลายอยู่ตลอดเวลา ดูแต่การที่หญิง และชาย อยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องมีพิธีการสมรส การเปลี่ยนคู่ สลับผัวเมียตามใจชอบ การทดลองอยู่กันก่อน ก่อนที่จะคิดรัก คิดสมรส การหยิบยื่นลูกสาวหรือเมียให้แขกผู้มาเยี่ยมเยียนเป็นการต้อนรับ 

ท่านนบีมูฮำมัด  กล่าวว่า


إِذَالَمْ تَسْتَحِ فَاصْنَعْ مَاشِئْتَ
 

 

"เมื่อพวกเจ้าไม่มีความละอายแล้ว ก็จงทำตามที่เจ้าปรารถนาเถิด"

 สุดท้ายนี้ ขอให้เราเลิกทำความชั่ว ทั้งๆที่เรามีความสามารถที่จะทำความชั่วได้


 

คุตบะห์วันศุกร์  ณ มัสยิดท่าอิฐ