ความหมายคำว่า “ญามาอะห์”
  จำนวนคนเข้าชม  20142

ความหมายของคำว่า “ญามาอะห์”  มี  5 ทัศนะ


ทัศนะที่หนึ่ง  : ญามาอะห์ คือ กลุ่มคนส่วนมากที่อยู่ในศาสนาอิสลามภายใต้การเชื่อฟังผู้นำมุสลิม

          ผู้ที่ให้ทัศนะนี้คือ อาบู มัสอูด อัลอันซอรีย์  และท่านอิบนู ซีรีน ได้รายงานจาก อาบู มัสอูด

แท้จริงเขา (อาบู มัสอูด) ได้สั่งเสียแก่ผู้ที่มาถามท่านถึงสาเหตุที่อุสมานได้ถูกสังหาร   เขาได้กล่าวว่า

“จำเป็นแก่ท่านจะต้องยึดมั่นอยู่รวมกับญามาอะห์ เพราะว่าอัลลอฮ์ มิได้ให้ประชาชาติของ มุฮัมมัด  ที่ยึดมั่นกับญามาอะห์นั้นอยู่บนความหลงผิด”  (ฟัตอุลบารีย์ 13 / 37)

อัชชาตีบีย์ได้กล่าวว่า 

         ในความเห็นของฉัน ญามาอะห์ คือบรรดาปวงปราชญ์และนักวิชาการที่มีความรู้ในระดับที่สามารถวินิจฉัยในเรื่องของศาสนาได้ และบรรดาปวงปราชญ์ ที่มีความรู้ความเข้าใจในบทบัญญัติและได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งอิสลาม และจำเป็นที่ผู้อื่นจะต้องปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขาด้วย และผู้ใดได้ออกจากแนวทางนั้น เขาคือผู้ที่ผิดเพี้ยน จะตกเป็นเหยื่อของชัยฏอนมารร้าย และจะเป็นผู้ที่อุตริในเรื่องของศาสนา


ทัศนะที่สอง : ญามาอะห์ คือ บรรดานักปราชญ์ ที่ทุ่มเทความรู้ความพยายามในการรับใช้ศาสนา

          ดังนั้นผู้ใดได้ออกจากแนวทางการปฏิบัติของพวกเขา เขาก็ตายไปในสภาพของผู้ที่งมงายอยู่กับความหลงผิด เนื่องจากอัลลอฮ์  ได้ให้บรรดาปวงปราชญ์เป็นดั่งแสงสว่าง เป็นหลักฐานที่มาชี้นำมนุษย์ และผู้คนทั้งหลาย ซึ่งพวกเขามีความต้องการในเรื่องศาสนา และบรรดาผู้รู้ได้มาสนับสนุนคำพูดของ เราะซูลที่ว่า

( لم يكن الله ليجمع أمة محمد على ضلا لة )

“อัลลอฮ์ จะไม่ให้ความหลงผิดเกิดขึ้น กับการรวมตัว(มติของปวงปราชญ์)ของประชาชาติมุฮัมมัด ”

         ความหมายของหะดีษนี้ เป็นไปไม่ได้ที่บรรดาผู้รู้จะรวมตัวกันอยู่บนความหลงผิด นี่คือทัศนะของอับดุลลอฮ บินมูบารอก  อิสหากอิบนู รอห่าวัย บรรดาปวงปราชญ์สลัฟ และนักวิชาการในวิชาอูซูล และท่านอิหม่ามบุคคอรีย์ เห็นด้วยกับทัศนะนี้ โดยที่ท่านได้นำดำรัสของอัลลอฮ์  มากล่าวนำหน้าหัวข้อเรื่องในหะดีษของท่าน

( وكذلك جعلنا كم أمة وسطا )

“และเราได้ทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง”  (อัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 143 )

         ท่านนะบี  สั่งให้ยึดมั่นใน(อยู่ร่วม) ญามาอะห์มุสลิม คือ บรรดากลุ่มของผู้ที่มีความรู้  (บุคคอรีย์ 13 / 316 )

          นักวิชาได้อธิบายความหมายของญามาอะห์ คือ กลุ่มนักวิชาการที่มีความรู้ในเรื่องศาสนบัญญัติอิสลาม และนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องของหะดีษ

         ท่านกัรมานีย์ได้กล่าวว่า  คำสั่งที่ได้ใช้ให้ยึดมั่นกับญามาอะห์ คือการยึดมั่นในข้อปฏิบัติต่างๆ ของศาสนา และจะต้องยึดมั่นปฏิบัติตามสิ่งที่นักวิชาการ  (ผู้ที่ค้นคว้า วินิจฉัย) ได้มีมติในเรื่องนั้นๆ  ( คำพูดของอิบนู ฮาญัร ฟัตอุลบารีย์ 3 / 316 )


ทัศนะที่สาม  : ญามาอะห์ คือ บรรดาซอฮาบะห์ 

          ซอฮาบะห์ คือผู้ที่ทำให้รากฐานของศาสนามีความมั่นคง และเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่พวกเขาได้รวมตัวอยู่บนความหลงผิด


ทัศนะที่สี่ : ญามาฮะห์ คือ กลุ่มมุสลิมที่รวมตัวอยู่ภายใต้การเชื่อฟังผู้นำผู้ปกครองของพวกเขา

          โดยที่ท่านนะบี  ได้ใช้ให้ยึดมั่นกับญามาอะห์ และห้ามแยกตัวออกจากประชาชาติอิสลาม คือ ยอมรับและเชื่อฟังผู้นำ ดังนั้นผู้ใดได้ออกจากการเชื่อฟังผู้นำ ก็เท่ากับว่าเขาได้ออกจากกลุ่มมุสลิม ซึ่งเป็นทัศนะที่ ท่านอิหม่าม อัตตอบรีย์ได้เลือก


ทัศนะที่ห้า : ญามาอะห์ คือ การรวมตัวของมุสลิม เมื่อพวกเขาได้มีมติในเรื่องใดๆ จำเป็นที่ผู้อื่นจะต้องปฏิบัติตามด้วย

          ท่านชาตีบีย์ได้กล่าวว่า ทัศนะนี้มีความใกล้เคียงกับทัศนะที่สอง และเช่นกันจุดประสงค์ของทัศนะนี้ได้คล้ายคลึงกับทัศนะที่หนึ่ง ซึ่งเป็นทัศนะที่ค่อนข้างมีความชัดเจน

          นี่คือทัศนะต่างๆที่บรรดานักวิชาการได้ให้ความหมายเกี่ยวกับญามาอะห์  จากความหมายเหล่านั้นพอจะสรุปเกี่ยวกับญามาฮะห์ ได้สองด้านด้วยกัน
 

ด้านที่หนึ่ง คือ ญามาฮะห์ ใช้เรียก เกี่ยวกับองค์กร

          แท้จริงเมื่อบรรดามุสลิมได้มีมติในการเชื่อฟังผู้นำที่ถูกต้องตามบัญญัติอิสลาม พวกเขา คือญามาอะห์จำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกัน จะปลีกตัวออกไปไม่ได้

          ญามาฮะห์คือการที่มีมติให้สัตยาบันยอมรับใครคนหนึ่งเป็นผู้นำ ดังนั้นการออกจาการเชื่อฟังต่อผู้นำจึงเป็นผู้ที่ประพฤติชั่ว

ท่านเราะซูล  ได้กล่าวแก่อุซัยฟะห์ บินยามาน ที่ว่า

تلزم جماعة المسلمين و إمامهم      “ท่านจงอยู่รวมกับกลุ่มของบรรดามุสลิม และผู้นำของพวกเขา”

          ท่านอิหม่าม อัตตอบรีย์ได้กล่าวว่า  ที่ถูกต้อง แท้จริงจุดประสงค์ของการยึดมั่นในญามาฮะห์ คือการเชื่อฟังผู้ที่ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำ ดังนั้นผู้ใดได้ออกจากการเชื่อฟังเท่ากับว่าเขาได้ออกจากญามาฮะห์ 

มีหะดีษที่รายงานโดยอิบนู อับบาส แท้จริงท่านเราะซูล กล่าวว่า

 من رأى من أميره شيئا يكرهه فليصبر فإنه من فارق الجماعة شبرا فمات ميتة جاهلية 

“ผู้ใดที่ได้เห็นสิ่งที่เขาไม่ชอบที่ตัวผู้นำของเขา ดังนั้นเขาจงอดทน เพราะว่าแท้จริงผู้ที่ออกจากกลุ่ม ( ญามาฮะห์ ) เพียงคืบเดียว ดังนั้นเขาได้เสียชีวิตในสภาพของผู้ที่งมงาย” 

          ญามาฮะห์จะหายไปยุคหนึ่ง ในยุคที่เกิดความวุ่นวาย ด้วยหลักฐานหะดีษ อุซัยฟะห์ที่ท่านได้ถามท่านนะบี  ที่ว่า
 
فإن لم يكن لهم جماعة ولا إمام

"ถ้าหากไม่มีญามาอะห์ และผู้นำแก่พวกเขา"

"ถ้าหากไม่มีญามาอะห์เป็นหน้าที่ของบรรดามุสลิมที่จะต้องพยายามที่จะให้มันมีขึ้นมา และเมื่อสามารถที่จะหาผู้นำได้เขาก็จะเป็นแกนนำในการปกครองและปฏิบัติหน้าที่"

         ด้วยเหตุดังกล่าวหลังจากที่ท่านนะบีได้เสียชีวิต บรรดาซอฮาบะฮ์ จึงใช้ความพยายาม ที่จะทำการให้สัตยาบันแก่ท่านอาบูบักร เป็นผู้นำมุสลิม ( คอลิฟะห์ )

         ท่านวาอีด บินเซดรอฎิยัลลอฮุอันอู ได้ถูกถามว่า ท่านได้อยู่ร่วมหรือไม่ในขณะที่ท่านเราะซูลได้เสียชีวิต ?

         ท่านสาอีด ได้กล่าวว่า ฉันร่วมอยู่ด้วย แล้วมีคนกล่าวว่าแล้วท่านอาบูบักร ได้ถูกให้สัตยาบันเมื่อใด ท่านสาอีดได้ตอบว่า วันที่ท่านเราะซูล  ได้เสียชีวิต โดยที่พวกเขาไม่ต้องการที่จะให้วันหนึ่งผ่านไปโดยขาดผู้นำ


ด้านที่สอง คือ ญามาฮะห์ถูกเรียกเกี่ยวกับแนวทางที่ยึดมั่น

          มีตัวบทมากมายได้มีคำสั่งให้ยึดมั่นกับญามาฮะห์ และมีตัวบทมากมายที่ได้กล่าวถึงกลุ่มที่จะได้รับความสำเร็จและความปลอดภัย และจากตัวบทเหล่านั้น เราจะพบความชัดเจนที่ใช้ให้เราต้องอยู่ร่วมกับญามาอะห์ ซึ่งมีหะดีษที่ได้กล่าวถึงกลุ่มที่จะได้รับความสำเร็จ

รายงานจากท่านอาบีฮุรัยเราะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ได้กล่าวว่า

عن إبي هريرة رضي الله عنه أنه قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : (( افترق اليهود على إحدى أو اثنين وسبعين فرقة وتفرقت النصارى على إحدى أو اثنتين وسبعين فرقة وتفترق أمتي على ثلا ث وسبعين فرقة )) . وفي روايات (( ثنتان وسبعون في النا ر وواحد في الجنة ))

“ พวกยะฮูดได้แตกออกเป็น เจ็ดสิบเอ็ด หรือเจ็ดสิบสองจำพวก และพวกนาซอรอฮ์ได้แตกออกเป็นเจ็ดสิบเอ็ด หรือเจ็ดสิบสองจำพวก แต่ประชาชาติของฉันจะแตกออกเป็น เจ็ดสิบสามจำพวก”  และบางรายงาน  “เจ็ดสิบสองจำพวกอยู่ในนรก จำพวกเดียวที่จะได้เข้าสวรรค์” 

ลักษณะของกลุ่มที่จะได้รับความสำเร็จมีสายรายงานดังต่อไปนี้

     1. ( وواحد في الجنة هي الجماعة ) กลุ่มที่จะได้เข้าสวรรค์ คือ ญามาอะห์

     2. ( كلها في النار إلا السواد الأعظم ) กลุ่มทั้งหมดนั้นจะอยู่ในนรก นอกจากกลุ่มมุสลิมที่อยู่ภายใต้การเชื่อฟังผู้นำ

     3. ท่านนะบี ได้ถูกถามถึงกลุ่มที่จะได้รับความสำเร็จและความปลอดภัย ท่านกล่าวว่า ( ما أنا عليه وأصحابي )  “แนวทางที่ฉันและสาวกของฉันได้ยึดถือปฎิบัติ”

          ท่านอายีรีย์ได้กล่าวว่า ความหมายของกลุ่มที่จะได้รับความสำเร็จมีหนึ่งเดียวเท่านั้น โดยคำพูดของท่านนะบีที่ว่า

( ما أنا عليه وأصحابي )   “แนวทางที่ฉันและสาวกของฉันได้ยึดปฏิบัติ”

           จากตัวบทนี้  แท้จริงกลุ่มที่จะได้รับความช่วยเหลือและได้รับความปลอดภัย คือกลุ่มที่มีคุณลักษณะการปฏิบัติเหมือนท่านเราะซูล และบรรดาสาวกของท่าน  (จากคำพูดของ อัชชาตีบีย์ ในหนังสืออัลเอียะติซอม)

ตามหลักฐานหะดีษที่กล่าวถึงญามาฮะห์ จึงสรุปว่ากลุ่มที่ได้รับความสำเร็จก็คือญามาฮะห์

          จากความเข้าใจของสลัฟซอและห์ ญามาฮะห์ คือกลุ่มที่มีคุณลักษณะที่ท่านนะบีได้บอกไว้ ไม่ใช่เฉพาะการรวมกลุ่มเท่านั้น เพราะบางครั้งคนเรามีการรวมกลุ่ม แต่คุณลักษณะที่ท่านนะบีบอกไว้มีเพียงคุณลักษณะเดียวและยังขาดคุณลักษณะอื่นๆ ท่านอิบนู มัสอูดได้กล่าวว่า

 ( إنما الجماعة ما وافق طاعة الله وإن كنت وحدك )

“แท้จริงญามาฮะห์ คือสิ่งที่ตรงกับการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ ถึงแม้ว่าผู้ปฏิบัติจะเป็นท่านคนเดียว”

          การยึดมั่นกับญามาฮะห์ คือการยึดมั่นอยู่กับความจริง และปฏิบัติตามสัจจะธรรม ถึงแม้ว่าผู้ที่ยึดมั่นต่อความจริงจะมีน้อยก็ตาม และผู้ที่อยู่ในความเท็จจะมีมากมาย   เนื่องจากญามาฮะห์ในยุคของท่านนะบี ไม่ได้อยู่ด้วยกับความมากของบรรดาผู้ที่อยู่กับความเท็จ นี่คือความเข้าใจของสลัฟ

         ท่านอิหม่าม อาญีรีย์ ได้นำเรื่องของการยึดมั่นกับญามาฮะห์ บรรดาโองการอัลกุรอาน และหะดีษ ต่างๆ ที่ใช้ให้ยึ่ดมั่นต่อแนวทางที่เที่ยงตรง โดยที่ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านในตอนท้ายของเรื่องนี้ว่า  เครื่องหมายของผู้ที่อัลลอฮ์ ประสงค์ให้เขาได้รับความดี คือการปฏิบัติตานแนวทาง การยึดมั่นต่อกีตาบุลลอฮ และแนวทางของท่านเราะซูล  และแนวทางของบรรดาซอฮาบะห์ และอยู่ในแนวทางของบรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขาที่ได้ปฏิบัติตามในเรื่องของความดี ขอความเมตตาต่ออัลลอฮจงประสบแด่พวกเขาทั้งหมด และแนวทางที่บรรดาผู้มีความรู้ในหัวเมืองต่างๆได้ยึดถือปฏิบัติ เช่น ท่านอัลเอาซาอีย์ ซุฟยาน อัซเซารีย์  อิหม่าม ชาฟีอีย์ ฮะหมัด บิน อัมบัล และอัลกอซิม บิน สลาม และผู้ที่อยู่ในแนวทางของพวกเขา

          จากคำพูดของท่านอายีรีย์ข้างต้นความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับญามาฮะห์ คือการที่ปฏิบัติตามแนวทางของท่านนะบี  และแนวทางของบรรดาซอฮาบะห์ และแนวทางของบรรดาสะลัฟ ซอแหละห์ ที่พวกเขาได้ดำเนินตามแนวทางของท่านนะบี ทั้งหมดนั้นรวมอยู่คำว่าญามาฮะห์ และจะยังคงมีอยู่จนถึงวันกิยามะห์ ท่านเราะซูล  ได้กล่าวว่า

( لا تزال طائفة من أمتي قائمة بأمرالله وهم ظاهرون على الناس )

“มีคนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉัน ที่ยังปฏิบัติและยืนหยัดต่อคำสั่งของอัลลอฮ์  และพวกเขาจะมีชัยชนะเหลือผู้คนทั้งหลาย”

        หมายถึงพวกเขาสามารถที่จะยืนหยัดบนหลักการได้ ถึงแม้ผู้ที่ปฏิบัติมีจำนวนน้อย หรือมีผู้ที่คอยขัดขวางและจ้องทำลาย

 

แปลจากหนัง อัลฆูลู ฟิดดีน


โดย   อิสมาอีล  กอเซ็ม