กำแพงกั้นอารยธรรมอิสลามกับตะวันตก
  จำนวนคนเข้าชม  15367

กำแพงกั้นอารยธรรมอิสลามกับตะวันตก

 

          เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีแต่ครรลองชีวิตอิสลามเท่านั้นที่สามารถเยียวยาชาวตะวันตกให้ฟื้นจากสารพัดความทุกข์ที่รุมเร้า ทั้งในด้านจิตใจ ศีลธรรม จริยธรรม จิตวิทยาและสังคม อิสลามเท่านั้นที่สามารถปกป้องอารยธรรมตะวันตกมิให้จมดิ่งลงไปในมหาสมุทรแห่งความมืดบอดและวัตถุนิยม
 
          แต่อนิจจาน่าเสียดาย ณ ดินแดนเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคที่คอยกีดขวางชาวตะวันตกมิให้พบกับทางนำแห่งอิสลาม ส่วนหนึ่งที่พอจะกล่าวโดยสังเขป มีดังต่อไปนี้


1.ความเชื่ออันบิดเบือนของชาวตะวันตก

          อุปสรรคประการหนึ่งคือคุณลักษณะอันบิดเบี้ยวของชาวตะวันตก นั่นคือ ความโอหังและอหังการ เชื่อว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เป็นความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดมรดกมาจากพวกโรมัน ซึ่งจะแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ชนชั้น นั่นคือ พวกชนชาติโรมัน กับชนชาติบาร์เบอร์ ชนชาติโรมันคือผู้นำ ผู้ปกครองและเจ้านาย ส่วนชนชาติอื่นเป็นทาส

          จากแนวคิดนี้เองนำไปสู่การแบ่งก๊กแบ่งเหล่า แบ่งชนชั้น โดยใช้สีผิวและเผ่าพันธุ์เป็นตัวแบ่ง  และแนวคิดนี้กลายเป็นแก่นของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน สำหรับคนผิวขาวเป็นชนชั้นพิเศษ ควรจะเป็นผู้ปกครองและผู้นำชนผิวอื่นๆ พวกเขาถูกบังเกิดมาเพื่อชี้นำและปกครอง ส่วนชนชั้นอื่นถูกบังเกิดมาเพื่อเป็นผู้ตามและผู้ถูกปกครอง ถึงแม้ว่าวิทยาการต่างๆได้ปฏิเสธทฤษฎีการปกครองแบบชนชั้นและเหยียดผิวที่เคยเกิดขึ้นในสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ แต่จิตใต้สำนึกของชาวตะวันตกยังคงเชื่อมั่นในทฤษฎีนี้ และยังคงมีการปฏิบัติและยึดถือเป็นหลักการในการติดต่อสัมพันธ์กัน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาต้องใช้ท่าทีกลับกลอก แสดงให้ชนชาติอื่นเห็นว่าให้เกียรติกัน แต่ทว่าสัญชาตญาณต่างๆที่พวกเขาแสดงและเผยออกมาให้เห็นนั้น นั่นแหละคือ ตัวบ่งชี้ถึงตัวตนและความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา

         แม้กระทั่งนักปราชญ์อย่าง อะเล็กซิส คาเร็ล ยังออกมายอมรับในความเชื่อเรื่องการเหยียดผิวของชาวยุโรป ที่มีต่อคนผิวดำและผิวเหลือง

          นี่คือ ตัวตนและความเชื่อที่แท้จริงของชาวตะวันตกที่มีต่อชนชาติอื่นๆ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับพวกเขา ในการที่จะหันมายอมรับในสัจธรรมที่มีอยู่กับมุสลิม เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ที่จะยอมรับว่า ตัวเองป่วยและยอมให้พวกเราเป็นหมอรักษา ทั้งๆที่พวกเรามียาดีสามารถรักษาพวกเขาได้ก็ตาม

          จึงไม่แปลกเลย ที่ความหยิ่งยะโสและโอหังของพวกเขา กลายเป็นอุปสรรคสำคัญและกำแพงอันแข็งแกร่ง ที่ขวางกั้นพวกตะวันตก (รวมทั้งชาวอเมริกัน) มิให้ยอมรับอีหม่าน อัลลอฮ์ ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องของฟิรเอาน์และผู้ติดตามเขา พร้อมกับท่าที จุดยืนที่พวกเขาแสดงต่อท่านนะบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ความว่า

“และพวกเขาได้ปฏิเสธมันอย่างอยุติธรรมและเย่อหยิ่ง ทั้งๆที่จิตใจพวกเขาเชื่อมั่น ดังนั้น จงดูเถิดว่า บั้นปลายของบรรดาผู้บ่อนทำลายนั้นจะเป็นอย่างไร” (ซูเราะฮฺ อัล-นัมล : 14)

อัลลอฮ์  ทรงตรัสอีกว่า

“ข้าจะหันเห ออกจากบรรดาโองการของข้า ซึ่งบรรดาผู้ที่ยะโสในแผ่นดินไม่บังควร และแม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นสัญญาณทุกอย่าง พวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อสัญญาณนั้น และหากพวกเขาเห็นความถูกต้อง พวกเขาจะไม่ยึดถือมันเป็นทาง…” (ซูเราะฮฺ อัล-อะอรอฟ : 146)


2.ความเคียดแค้นจากสงครามครูเสดฝังลึกอยู่ในหัวใจ

          ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคขัดขวางชาวตะวันตก นั่นคือ ความรู้สึกเคียดแค้นในสงครามครูเสด ซึ่งได้รับการปลูกฝังเป็นมรดกตกทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่านานนับศตวรรษ นับตั้งแต่ที่ชาวมุสลิมสามารถพิชิตชาวคริสเตียนในสงครามครูเสด มุสลิมได้ยึดดินแดนคืนจากพวกคริสเตียนได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากถูกพวกคริสเตียนยึดครองเป็นเวลานานถึงสองศตวรรษ

          แท้จริงแล้วจิตวิญญาณแห่งสงครามครูเสดนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดสงครามครูเสดที่แท้จริงอันยาวนานเสียอีก นั่นคือ เกิดขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับ คริสเตียน กองทัพอิสลามมีชัยในด้านการทหารและด้านศาสนา มุสลิมได้ยึดครองดินแดนต่างๆที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจการปกครองของคริสเตียนนานนับศตวรรษ หลังจากนั้นดินแดนและแคว้นต่างๆเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยธงแห่งการดะวะฮ์อิสลาม อาทิเช่น ปาเลสไตน์ ซีเรีย อิยิปต์ และแอฟริกาเหนือ ทั้งหมดได้กลายเป็นปราการอันแข็งแกร่งของอิสลาม

          ณ ที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างเคำกล่าวของแม่ทัพอังกฤษ ชื่อ อะเล็นบี ซึ่งได้กล่าวขณะที่เข้าเมืองบัยตุลมักดิสในปี 1917 ว่า “วันนี้สงครามครูเสดได้สิ้นสุดลงแล้ว “ และคำกล่าวของแม่ทัพฝรั่งเศส เจรันด์ ตอนเข้ายึดครองซีเรียและได้ยืนอยู่บนแท่นของแม่ทัพมุสลิม เขากล่าวว่า “โอ้ ศอลาฮุดดิน ผู้เคยพิชิตกองทัพครูเสด บัดนี้เราได้กลับมาแล้ว โอ้ ศอลาฮุดดีน”

         ท่าทีของชาวตะวันตกที่เห็นได้ในปัจจุบัน เกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆที่พวกเขาแสดงต่อมุสลิมในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา เราจะเห็นว่า ตะวันตกได้แต่มองดูพฤติกรรมอันเหี้ยมโหดที่ชาวเซิร์บกระทำต่อชาวมุสลิม อีกทั้งลึกๆแล้วพวกเขาสนับสนุนพวกเซิร์บที่ยโสในความเหนือกว่าด้านการทหารและอาวุธ  เป็นกลุ่มชนที่ประกาศชัดเจนในจิตวิญญาณแห่งกางเขนหรือ คริสตจักร ซึ่งป่าวประกาศว่า

“ พวกเราคือวีรชนแห่งกางเขน เป็นผู้ที่ได้เสียสละเพื่อชาวยุโรปทั้งมวล เราคือปราการขัดขวางภัยของอิสลามที่มาหาพวกท่านจากทางตะวันออก”

          จริงๆแล้ว พวกยุโรปทั้งหมดฝักใฝ่อยู่กับฝ่ายเซอร์เบีย อาทิเช่น รัสเซียเป็นคริสเตียนนิกายออร์โธดอกซ์ , ฝรั่งเศสนิกายแคทอลิก,อังกฤษนิกายโปรแตสแตนท์, ทุกประเทศต่างแสดงท่าทีเมินเฉย ปล่อยให้บอสเนียถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แม้กระทั่งสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ สิทธิในการป้องกันตนเอง , สิทธิในการซื้ออาวุธเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน เคหสถาน สถานที่ประกอบศาสนกิจ จากการคุกคามจากชาวเซิร์บ เหตุผลที่ชาวยุโรปอ้างถึงสาเหตุในการประกาศเขตปลอดอาวุธและห้ามส่งอาวุธเข้าไปในบอสเนีย เป็นเหตุผลที่แปลกประหลาดมาก การยกเลิกข้อห้ามจะยิ่งทำให้เกิดสงคราม มีการสูญเสียเลือดเนื้อและเกิดความรุนแรงยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่า การฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมบอสเนีย จะถูกดำเนินการโดยพวกเซิร์บเพียงฝ่ายเดียวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

          การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 2 ปี สหรัฐอเมริกาจึงได้ขอจากประเทศตะวันตกให้ยกเลิกเขตปลอดอาวุธ กระนั้นประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษพยายามคัดค้าน โดยขู่ว่าจะถอนทหารออกจากกองกำลังผสมสหประชาชาติที่ประจำการอยู่ในบอสเนีย

          พฤติกรรมที่แสดงออกมาเช่นนี้ จะไม่ทำให้เราเข้าใจประเทศเหล่านั้นว่า ยังมีจิตวิญญาณครูเสดฝังลึกอยู่ได้อย่างไร?

          หลักฐานชิ้นที่สอง คือ การที่ชาติตะวันตกประณามและต่อต้านประเทศปากีสถานซึ่งครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งๆที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศอินเดีย รวมทั้งประเทศอิสราเอล ประเทศจีน ก็มีอาวุธนิวเคลียร์มหาประลัยนี้เช่นเดียวกัน หรือว่ามันเป็นข้อยกเว้นสำหรับประเทศคริสเตียน ยิวและ ฮินดู แต่ เป็นข้อห้ามเฉพาะประเทศมุสลิมเท่านั้น

          หลักฐานที่สาม คือ ท่าทีของรัฐบาลฝรั่งเศสที่มีต่อมุสลิมะฮฺซึ่งสวมฮิญาบไปโรงเรียน และท่าทีอันแข็งกร้าวที่ผู้บริหารโรงเรียนออกกฎข้อห้ามมิให้บรรดามุสลิมะฮ์ปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติ พวกต่อต้านอิสลามได้เริ่มแสดงปฏิกริยาออกมาหลังจากพวกเขาได้ทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า อิสลามกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในปัจจุบันมีประชากร มุสลิมมากกว่า 4 ล้านคน

         รัฐมนตรีการศึกษาแห่งชาติฝรั่งเศส ได้แถลงว่า

"เราจะไม่อนุญาตให้มีเอกลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของศาสนาใดก็ตาม ปรากฏขึ้นในโรงเรียนต่างๆในประเทศของเรา และฮิญาบนั้นสำหรับหนุ่มสาวมุสลิมแล้วมันคือสัญลักษณ์หรือเอกลักษณ์ทางศาสนาที่โดดเด่นที่สุด ฝรั่งเศสจะไม่อ่อนข้อหรือประนีประนอมในเรื่องที่ขัดหลักเซคคิวลาร์ ด้วยการยินยอมให้สามารถแสดงออกถึงสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้โดยเด็ดขาด …ณ ปัจจุบันนี้และตลอดไป…"

         เท่าที่เราทราบมานั้น ลัทธิเซคคิวลาร์เสรีนิยมนั้นจะยกเว้นในเรื่องทางศาสนา พวกเขาจะไม่สนับสนุนและต่อต้านศาสนา จะไม่เรียกร้องเชิญชวนและจะไม่ห้ามในเรื่องศาสนา ไม่เหมือนกับเซคคิวลาร์คอมมิวนิสต์ พวกเขาจะทำสงครามกับศาสนา

          แต่เมื่อประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศแม่แบบในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ได้แสดงท่าทีแบบนี้ทำให้เราตกใจมาก โดยเฉพาะท่าทีที่แสดงต่ออิสลาม มันได้แปรเปลี่ยนชั่วพริบตา จากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและศาสนาใดๆ มาเป็นการต่อต้าน จากท่าทีดังกล่าวได้บีบบังคับมุสลิมะฮ์ให้ละทิ้งศาสนาบทบัญญัติและภารกิจต่างๆที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้แก่พวกเธอ ซึ่งความจริงแล้ว ฮิญาบมิใช่สัญลักษณ์ทางศาสนา แต่มันเป็นภารกิจหนึ่งที่องค์อัลลอฮ์ ทรงบัญญัติให้มุสลิมะฮ์ที่หวังในความโปรดปรานจากพระองค์ได้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดที่ต่อต้านภารกิจอันบริสุทธิ์นี้ มันก็หมายความว่า เขาได้ทำตัวของเขาเองให้เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มชนที่ถูกกริ้วและถูกลงโทษจากอัลลอฮ์ อย่างสาหัส

          อัลลอฮ์ตรัสในอัล-กุรอานว่า

“และจงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) แก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลดต่ำ และให้พวกเธอรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับ…” (ซูเราะฮฺ อันนูร : 31)

          ศาสนาอิสลามได้บัญญัติเป็นข้อบังคับให้มุสลิมะฮ์ต้องคลุมศีรษะ เพื่อสนองต่อพระบัญชาของอัลลอฮ์  ในขณะที่ประเทศเซคคิวลาร์เสรีนิยมทั้งหลายให้เสรีภาพแก่สตรีในการที่จะสวมใส่เสื้อผ้าตามแฟชั่นแบบใดก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า อะไรอยู่เบื้องหลังท่าทีของรัฐมนตรีการศึกษาแห่งชาติฝรั่งเศส และใครเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง?

          พวกเขามองเรื่องฮิญาบนี้ ด้วยสานตาของคนในยุคกลาง พวกเขาถือว่า นี่คือสิ่งท้าทายหรือการคุกคามจากอิสลาม และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางศาสนา นี่เป็นความเข้าใจผิดของพวกเขาอย่างแน่นอน

         ทั้งๆที่ในห้องเรียน มีนักศึกษาสวมสร้อยที่ห้อยกางเขน สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากและมันเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาอย่างแน่นอน แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยถูกสั่งห้ามแต่ประการใด ทำไม่จึงห้ามเฉพาะการสวมชุดฮิญาบ?

          สัญลักษณ์มันมีบทบาทเพียงเป็นเอกลักษณ์และเป็นสิ่งที่จะแจ้งให้เราทราบ มันไม่ได้มีบทบาทและความหมายเหมือนกับหมวกบนศีรษะของคนยิว หรือกางเขนที่ห้อยบนอกของคนคริสเตียน ส่วนฮิญาบหรือผ้าคลุมศีรษะ มันมีบทบาทที่ชัดเจนมาก ซึ่งความหมายของฮิญาบคือ การปกปิดเอารัต (อวัยที่พึงสงวน พึงปกปิดไว้) และเป็นมารยาทหรือจริยธรรมที่ถูกบัญชามาจากอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา พระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล

          อารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและสูงส่งนั้น จะต้องเป็นอารยธรรมที่ให้สิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักการศาสนาและวัฒนธรรม ดังที่อารยธรรมอิสลามได้แสดงไว้เป็นแบบอย่าง อิสลามไม่เคยบีบบังคับให้ผู้นับถือศาสนาใดก็ตามละทิ้งหลักการต่างๆที่ศาสนานั้นๆบัญญัติไว้ อิสลามให้สิทธิยิ่งกว่านั้น โดยการอนุญาตให้ชนต่างศาสนิกสามารถปฏิบัติในสิ่งที่เป็นข้อห้ามของอิสลาม ในกรณีที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งอนุญาตในศาสนาของพวกเขา เช่น การบริโภคเนื้อสุกร สุรา เป็นต้น คนมุสลิมจะยึดมั่นในหลักการที่ว่า “จงให้พวกเขาในสิ่งที่พวกเขานับถือ” ทำไมระหว่างอารยธรรมอิสลามกับตะวันตก ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน?

         นอกจากนั้น เราสามารถเห็นได้จากท่าทีต่างๆที่ตะวันตกได้แสดงออกมา อาทิเช่น ท่าทีของชาวตะวันตกต่อกรณีของปัญหาปาเลสไตน์ , การปฏิวัติอีหร่าน , ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรค FIS ในแอลจีเรีย ,การประกาศใช้กฏหมายอิสลาม (กฏหมายชารีอะฮ) ในประเทศซูดาน และเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นในโลกอิสลาม จนริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ได้เผยท่าทีอย่างชัดเจนของชาวตะวันตก เขากล่าวในหนังสือของเขาตอนหนึ่งว่า “To win without War” หมายความว่า ชัยชนะโดยไม่ต้องทำสงคราม

        อีกตอนหนึ่งเขากล่าวว่า “ถ้าแม้นว่าสงครามหนึ่งได้เกิดขึ้น ตามที่มนุษย์ปรารถนา สงครามนั้น ก็คือ สงครามระหว่างอีรักกับอีหร่าน และถ้าหากสงครามที่มนุษย์ปรารถนาเกิด ซึ่งยังไม่มีฝ่ายใดชนะ สงครามนั้น คือ สงครามอีรักกับอีหร่าน” นั่นหมายความว่า หวังว่าทั้งสองประเทศจะทำสงครามต่อไปจนล่มจมไปทั้งสองฝ่าย


3.ความหวาดระแวงต่ออิสลาม

        ส่วนหนึ่งของอุปสรรคอันมากมายซึ่งทำให้ชาวตะวันตกไม่ยอมรับอิสลาม คือ ความหวาดระแวงและเกรงกลัวต่ออิสลาม กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขามองว่า อิสลามเป็นภัยคุกคามที่บ่อนทำลายตะวันตก นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้นำและนักการเมืองตะวันตกในปัจจุบันมักจะกล่าวถึงเสมอ พวกเขาได้หลอกหลอนชาวตะวันตกให้เห็นถึงอันตรายของ “ภัยเขียว” เพื่อนำมาทดแทน คำว่า “ภัยแดง” ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ และ “ภัยเหลือง” ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำ

         หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย และหมีขาวได้สยบอยู่ภายใต้อุ้งปีกพญาอินทรีย์ จีนก็เริ่มกระชับมิตรกับสหรัฐอเมริกา ตะวันตกจึงใช้เล่ห์เพทุบายใหม่ สร้างศัตรูตัวใหม่เพื่อหลอกหลอนชาวตะวันตก อันจะสามารถปลุกจิตสำนึกแห่งการสงคราม เพื่อรักษาและครองอำนาจได้อีกต่อไป

         ศัตรูตัวใหม่ที่ถูกนำมาแทนที่ “ประเทศปีศาจอย่างสหภาพโซเวียต” ดังที่ประธานธิบดี รีแกน ได้กล่าวไว้ ก็คือ อิสลาม นั่นเอง


4.แผนการของขบวนการไซออนิสต์

          อิสราเอล , ขบวนการไซออนิสต์ และลอบบี้ไซออนิสต์ในอเมริกามีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพหลอนให้เกิดความเกรงกลัวต่อภัยของอิสลาม และให้ตระหนักถึงภัยคุกคามที่ตะวันตกจะต้องให้ความสำคัญ โดยใช้ยุทธวิธีปลุกให้ย้อนไปดูการขยายตัวของอิสลามอย่างรวดเร็วในอดีตและกระแสการตื่นตัวและฟื้นฟูอิสลามในปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องระมัดระวังและควบคุมพลังไว้เป็นพิเศษเพื่อมิให้ขยายตัว

         เพื่อบรรลุถึงแผนการดังกล่าว พวกเขาได้ไปให้คำมั่นแก่ผู้นำประเทศมุสลิมว่า

"ที่เรากล่าวถึงภัยอิสลามนั้น เรามิได้หมายถึงพวกท่าน แต่เราหมายถึงชนกลุ่มอื่นที่เป็นภัยคุกคามเราและพวกท่านทั้งหลาย ภัยคุกคามดังกล่าวนั้น คือ กระแสการตื่นตัวหรือขบวนปฏิรูปสู่อิสลามบริสุทธิ์ที่พวกท่านเรียก หรือสิ่งพวกเราเรียกว่า ขบวนการกลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิม (Fundamentalist) …)"

         อิสราเอลได้รุกไปข้างหน้ายังตะวันตก…ซึ่งยังไม่ลืม…ผลแห่งสงครามครูเสด… พยายามกระตุ้นให้ตะวันตกระลึกถึงสงครามยัรมูก ความพ่ายแพ้ของซีเรียและเยรูซาเล็ม คอนแสตนติโนเปิล และประวัติศาสตร์อันขมขื่นของชาวตะวันตก อิสราเอลกล่าวแก่ตะวันตกว่า

"พวกเรา (อิสราเอล) เป็นตัวแทนของพวกท่านทั้งหลาย (บรรดาประเทศตะวันตก) ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำหน้าที่เป็นตำรวจคอยพิทักษ์ดูแลและคุ้มครองผลประโยชน์พวกท่าน จากการคุกคามของภูเขาไฟแห่งอิสลาม ซึ่งในปัจจุบันกำลังจะระเบิดและลาวาของมันจะค่อยๆไหลคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเรามากขึ้น พวกเราขอรับผิดชอบในการจัดการกับ “พวกมุสลิมเคร่งศาสนา” ดังนั้น ขอให้พวกท่านทั้งหลายถือว่า พวกเราเป็นเครื่องมือ/กลไกของพวกท่าน ในการขุดรากถอนโคนพวกเขาเหล่านั้นและเป็นเขี้ยวเล็บของพวกท่านทั้งหลาย…"

          นี่คือกุศโลบายที่อิสราเอลพูดกับตะวันตก รวมทั้งอินเดีย พวกเขาปกป้องศาสนาที่บูชาเจว็ด ในการที่จะเผชิญหน้ากับศาสนาเตาฮีด (เอกภาพ) เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้กระทำไว้ในอดีตกับพวกอาหรับมุชรีกีน

อัลลอฮ์  ทรงตรัสว่า

“…และพวกเขากล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (พวกมุชริกมักกะฮฺ) ว่า เหล่านี้แหละเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ชนเหล่านี้ (พวกยิวหรือยะฮูดี) คือผู้ที่อัลลอฮฺทรงละอนัตแก่พวกเขา และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงละอนัตแก่พวกเขาแล้ว เจ้าจะไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือใดๆสำหรับเขาเลย” (ซูเราะฮฺ อันนิสาอฺ : 51-52)

          เหล่านั้น คือ กำแพงที่ขวางกั้นมิให้อารยธรรมอิสลามและตะวันตกทะลุถึงกันได้

         เมื่อตะวันตกมีความเชื่อว่า อิสลามเป็นศัตรูที่ต้องระมัดระวังภัยคุกคาม ประเทศตะวันตกต้องจัดเตรียมกำลังไว้ต่อสู้กับอิสลาม หรืออย่างน้อยเพื่อควบคุม ติดตามการเคลื่อนไหวและลดบทบาทของอิสลามมิให้ลุกลามขยายตัว

          ดังนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ตะวันตกเปิดม่านบังตา เพื่อมองเข้าไปในอิสลามอย่างทะลุปรุโปร่ง หรือเปิดหูเพื่อรับฟังในสิ่งที่อิสลามเรียกร้องเชิญชวนให้แจ่มชัด

         ความหวังก็คงอยู่ที่ปัญญาชนที่รักความเป็นธรรมเท่านั้น กลุ่มคนที่ไม่ถูกแนวความคิดที่บิดเบือน ความเคียดแค้นจากสงครามครูเสด และแผนการของไซออนิสต์ มาบดบังแสงสว่างและรัศมีของอิสลาม เฉกเช่น มัรยัม ญามีละฮฺ . โรเจอร์ การุดี และ มอริส เป็นต้น เมื่อนั้นสันติภาพสากลที่เที่ยงแท้และยั่งยืนจึงจะบังเกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก


บทความโดย Muhammad Nasir Habayae


www.islamicbangkok.or.th