ชีวิตอภิรมย์
  จำนวนคนเข้าชม  5721

 

ชีวิตอภิรมย์ : จากถ้อยคำที่ดีงามสู่นิวาสถานอันบรมสุขสถาพร

 

โดย อ.มัสลัน มาหะมะ

 

         การมีชีวิตอย่างบรมสุขคือเป้าหมายของมนุษย์เรืองปัญญา ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันและอนาคต มนุษย์พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ เพื่อนำมาซึ่งความสุขตลอดจนไขว่คว้าทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงความสุขที่คาดหวังไว้ แต่มนุษย์ก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ได้แต่ตะเกียกตะกายฝ่าฟันและค้นหาความสุข แม้มันอาจเป็นแค่ชั่วแล่นหรือจอมปลอมก็ตาม 

         อิสลามสอนว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2  ส่วนสำคัญ คือส่วนที่เป็นธาตุดิน และส่วนที่เป็นวิญญาณ อัลกุรอานเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่เปิดเผยรากเหง้าของมนุษย์ได้อย่างละเอียดและถูกต้องแม่นยำที่สุด และอธิบายส่วนที่เป็นธาตุดิน อันประกอบด้วย สรีระร่างกายตลอดจนความลี้ลับต่างๆ ที่เป็นวิวัฒนาการการกำเนิดของมนุษย์ช่วงในครรภ์มารดา ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบทางวิทยาการสมัยใหม่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง และยังคงเป็นสิ่งท้าทายสติปัญญาของมนุษย์จวบจนปัจจุบันและอนาคต

         อัลกุรอานไม่ได้แจกแจงอย่างละเอียดส่วนที่เป็นวิญญาณของมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้ธาตุแท้ของวิญญาณของตนเอง แม้จะใช้กำลังสติปัญญามากมายเพียงใดก็ตาม กล่าวได้ว่า มนุษย์สามารถรอบรู้ทุกอย่างทั้งท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ใต้ดินอันลึกลับ แม้กระทั่งในอวกาศอันไพศาล แต่มนุษย์ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิญญาณของตนเองได้เลย มีบางคนกล่าวว่า มนุษย์สามารถโบยบินกลางนภาเหมือนเหล่าสกุณา สามารถแหวกว่ายในมหาสมุทรดั่งฝูงปลา แต่ในบางครั้ง มนุษย์ไม่สามารถเดินเหินบนหน้าแผ่นดินเยี่ยงมนุษย์ผู้เรืองปัญญา

อัลลอฮ์  ตรัสไว้ความว่า

“ และพวกเขาจะถามเจ้า(มุฮัมมัด) เกี่ยวกับวิญญาณ จงกล่าวเถิดว่า “เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน

(คือเป็นสิ่งเร้นลับซึ่งไม่มีใครจะล่วงรู้ได้ นอกจากพระองค์) และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” 

 (อัลอิสรออ์:17/85)   

         ในเมื่อมนุษย์ยังไม่รู้ธาตุแท้ของวิญญาณ เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์สามารถคิดค้นทฤษฎีต่างๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจและบันดาลสุขให้กับจิตวิญญาณ

“เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน”  

          อายะฮฺนี้มีนัยว่า เรื่องวิญญาณเป็นสิ่งเร้นลับซึ่งไม่มีใครจะล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น มนุษย์อาจจะมีความรู้บ้างในเรื่องสรีระร่างกาย (ธาตุดิน) ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถคิดค้นวิธีบำบัดรักษาร่างกายได้ตามศาสตร์ความรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย แต่มนุษย์ไม่มีวันที่จะไปหยั่งรู้ธาตุแท้ของวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ไม่สามารถคิดค้นวิธีบำบัดรักษาเยียวยาและสร้างความพึงพอใจแก่วิญญาณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำพาวิญญาณให้บรรลุถึงความสุขอันแท้จริง              

 

          ผู้ใดก็ตามที่พยายามค้นหาทำความเข้าใจจิตวิญญาณตามลำพัง และพยายามคิดค้นทฤษฏีต่างๆในการสร้างความพึงพอใจแก่จิตวิญญาณ เขาจะมีสภาพที่ไม่ต่างจากนักบินฝึกหัด ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของการฝึกบิน ไม่เคยมีประสบการณ์ทางภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์หรือความรู้พื้นฐานของการฝึกบิน และยังไม่ประสาเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เป็นประดิษฐกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง แต่เขายังฝืนขับเครื่องบินด้วยความคึกคะนองและทะนงตน ซึ่งมีแต่จะลอยเคว้งคว้างบนท้องฟ้าอย่างไร้ทิศทางและปราศจากการควบคุม รอเวลาร่วงตกลงสู่พื้นดินเท่านั้น

          อัลลอฮ์ เป็นผู้สร้างมนุษย์ พระองค์ไม่ทอดทิ้งมนุษย์ให้ลอยเคว้งคว้างอย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากการชี้นำ พระองค์จึงประทานศาสนทูตเพื่อจัดระเบียบชีวิตมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย คำสอนของบรรดาศาสนทูต คือศาสนาที่มนุษย์ต้องยึดเป็นต้นแบบในการดำรงชีวิต ศาสนทูตคนสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาคือนะบีมุฮัมมัด  สาส์นของท่านคือคำสอนที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของมนุษย์ เป็นบทบัญญัติที่ครอบคลุม สมดุล บูรณาการและมั่นคงยั่งยืน

          ร่างกายคนเรานั้นจำเป็นต้องอาศัยธาตุอาหารต่างๆ ซึ่งล้วนมาจากดินอันเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ แต่ร่างกายคือส่วนหนึ่งขององค์ประกอบเท่านั้น ส่วนประกอบที่สำคัญของมนุษย์อีกประการหนึ่งคือ วิญญาณ จึงเกิดคำถามว่า อะไรคือธาตุอาหารของวิญญาณ ? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อะไรคือวิญญาณของวิญญาณ

          วิญญาณของวิญญาณคืออัลกุรอาน ซึ่งเป็นประมวลคำสอนของอัลลอฮ์  ผู้ทรงสร้างมนุษย์ ผู้ทรงสร้างวิญญาณและผู้ทรงเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในมนุษย์คนแรกคือ อาดัม  ดังนั้นวิญญาณนี้ต้องการธาตุอาหารจากอัลลอฮ์ เช่นเดียวกันกับร่างกายต้องการธาตุอาหารที่มาจากดิน วิญญาณต้องการภูมิคุ้ม เสี่ยงต่อการติดโรค ต้องได้รับการบำบัดรักษาและควรอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดเชื้อเหมือนร่างกายทุกประการ

         อัลลอฮ์ ตรัสความว่า

   “ และผู้ที่ตายแล้ว

 ( หมายถึงผู้ที่งมงายโดยเปรียบเทียบพวกนี้ว่าเหมือนคนที่ตายแล้ว) 

แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น

(หมายถึงให้พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องในการดำเนินชีวิต ซึ่งเปรียบประหนึ่งว่าเขามีชีวิตขึ้นใหม่หลังจากตายไปแล้ว) 

และเราได้ให้แสงสว่าง

(หมายถึงให้คัมภีร์อัลกุรอานไปด้วยหลักการดำเนินชีวิต ซึ่งเปรียบประหนึ่งแสงสว่างที่ช่วยให้รู้ว่าอะไรคือประโยชน์และอะไรคือโทษแก่เขา ซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้น) 

จะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยไม่สามารถออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ ?

ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่ ”  

 (อัลอันอาม :6/122)   
                   

            คำว่า “แสงสว่าง” ในอายะฮ์นี้ อิบนุอับบาสได้ให้ความหมายว่าอัลกุรอาน ท่านอัสสะดีย์อธิบายว่าคืออิสลาม บางทัศนะเห็นว่าเป็นวิทยปัญญา(ฮิกมะฮ์) และบางทัศนะเห็นว่าเป็นแสงสว่างที่ส่องแสงเส้นทางสู่โลกอาคีเราะฮ์  ทัศนะดังกล่าวข้างต้นถือว่าถูกต้องทั้งหมด เพราะแก่นแท้ของอิสลามคืออัลกุรอานที่บรรจุด้วยวิทยปัญญาและคำสอนที่จัดระเบียบชีวิตบนโลกนี้และแสงสว่างในวันอาคีเราะฮ์

         ความหมายของคำว่า “ตาย” ณ ที่นี้คือ ตายหัวใจ เนื่องจากไม่มีความรู้และไร้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ สิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจกลับมีชีวิตชีวาได้ คือ อัลกุรอานซึ่งเป็นคำวิวรณ์จากอัลลอฮ์

 

ชีวิตเปี่ยมสุขคือพรอันประเสริฐของอัลลอฮ์

      อัลกุรอานได้อธิบายชีวิตเปี่ยมสุขและเงื่อนไขสำคัญที่นำพามนุษย์ให้บรรลุถึงความสุขที่แท้จริง ดังที่อัลลอฮ์ กล่าวไว้ความว่า

 “ ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา

ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้”

 (อันนะห์ลุ : 16/97)

        เงื่อนไขของชีวิตเปี่ยมสุขตามนัยของอายะฮ์ดังกล่าวประกอบด้วย 2 ประการคือ 1) ความศรัทธา และ 2) การทำความดี ซึ่งเขาได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า นักวิชาการมุสลิมได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับ “ชีวิตเปี่ยมสุข” ดังนี้

1.  คือปัจจัยยังชีพที่หะลาลและดี

2.  คือ ความรู้สึกเพียงพอในสิ่งที่ได้รับ

3.  คือความสุขสถาพร

4.  คือปัจจัยยังชีพที่หะลาลและการทำอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) ที่ถูกต้องบนโลกดุนยา

5.  การได้รับปัจจัยยังชีพในแต่ละวัน

6.  การเชื่อฟังในคำสอนและมีความสุขใจ

7.  ชีวิตเปี่ยมสุขอันแท้จริงคือชีวิตในสวนสวรรค์

8.  ชีวิตเปี่ยมสุขคือชีวิตในหลุมสุสาน

          อิบนุกะซีรได้สรุปว่า “ชีวิตเปี่ยมสุข คือชีวิตที่ครอบคลุมทั้ง 8 ประการดังกล่าวข้างต้น     อายะฮ์นี้เป็นสัญญาของอัลลอฮ์ที่ประทานให้แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ซึ่งปฏิบัติความดีพร้อมศรัทธาต่ออัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ เขาจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุขบนโลกนี้ และได้รับผลตอบแทนที่ดีในโลกอาคิเราะฮ์”


 

ชีวิตที่คับแค้น

           อัลกุรอานได้อธิบายชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับชีวิตเปี่ยมสุข นั่นคือชีวิตที่คับแค้น ดังที่อัลลอฮ์ ได้กล่าวความว่า

“ และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น

(คือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบัญญัติของข้าแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างยากแค้น ถึงแม้ชีวิตที่เห็นจากภายนอกจะสุขสบายดีก็ตาม )

และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด

เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์

 ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่า ทั้งๆ ที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น

พระองค์ตรัสว่า เช่นนั้นแหละ เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม ”

(ฏอฮา : 20/124-127)

นักวิชาการมุสลิมได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับ “ชีวิตที่คับแค้น” ดังนี้

1. ชีวิตที่อัปยศ มีแต่ความเครียดเพราะครอบครองทรัพย์สินที่หะรอม  มีหัวใจที่ไม่ยำเกรงและไม่เคยชุโกร์(ขอบคุณ) ต่ออัลลอฮฺ  บนโลกนี้

2. การทรมานในกุโบร์

3. การทรมานในนรก (โลกอาคิเราะฮ์)

    ทั้ง 3 นัยดังกล่าวไม่น่าจะขัดแย้งกัน เพราะถึงแม้จะแตกต่างด้านเวลาและสถานที่ แต่ก็ยังคงความเหมือนด้านแก่นแท้และเนื้อหา นั่นคือการมีชีวิตที่คับแค้น เครียด และแสนทรมาน


                                                   

สรุป

          ขอเรียกร้องและเชิญชวนทุกท่านมุ่งสู่ชีวิตอภิรมย์อันเป็นความสุขที่ยั่งยืนและชัยชนะที่ยิ่งใหญ่  ตลอดจนห่างไกลจากพฤติกรรมที่นำไปสู่ชีวิตที่คับแค้นซึ่งถือเป็นชีวิตอัปยศตลอดจนเป็นการทรมานอันแสนสาหัสและการขาดทุนอันชัดแจ้ง