จงหาความสูงส่งจากความรู้ในอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  11858

 

 

จงหาความสูงส่งจากความรู้ในอิสลาม


         พี่น้องผู้ร่วมละหมาดญุมอัตที่รักและเคารพทุกท่าน จงตักวาต่อเอกองค์อัลลอฮฺ ให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะมากได้ หวังว่าเราทุกคนจะได้รับความโปรดปรานทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ผู้ใดที่ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์แล้ว ผู้นั้นย่อมจะได้รับความผาสุก และสาเหตุประการหนึ่งที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะได้รับความสงบสุข คือ การดำรงชีวิตอย่างผู้ที่มีความรู้

         ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนพื้นฐานของความรู้นับตั้งแต่ต้นของอิสลาม เราสามารถกล่าวได้เลยว่า ศาสนาอิสลามได้วางพื้นฐานต่างๆ เพื่อให้ประชาชาติได้รับความรู้ ซึ่งวะฮีย์ครั้งแรกที่อัลลอฮ์ ประทานลงมายังท่านรอซูล นั้น ประกอบด้วยการส่งเสริมให้มนุษย์นั้นได้รับความรู้ ดังอายะฮฺอัลกุรอาน พระองค์ทรงตรัสว่า

“จงอ่านเถิดด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเนื้อ

จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้าผู้สูงส่ง ผู้ทรงสอนด้วยเกาะลัม ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้”

(กุรอาน 96: 1-5)

         ในอายะฮฺนี้ พระองค์อัลลอฮ์  ทรงสั่งให้ท่านนบี  อ่านด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และยังทรงสั่งให้ประชาชาติของท่านอ่าน เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้เป็นพื้นฐานของการให้เอกภาพหรือการเตาฮีดต่อพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้น ความรู้นี้เองที่มีความสำคัญที่สุด ให้คุณประโยชน์ และเป็นหลักประกันแห่งความสุขของมวลมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า


          นอกจากนั้น ศาสนาอิสลามยังถือว่าการหาความรู้นั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่มุสลิมทุกคนจะต้องแสวงหา เนื่องจากหน้าที่แต่ละอย่างจะสมบูรณ์ได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ท่านรอซูล  จึงกล่าวว่า

“การศึกษาหาความรู้นั้นเป็นฟัรดูสำหรับมุสลิมทุกคน”

ท่านอิหม่ามซาฟีอีย์กล่าวว่า “การศึกษาหาความรู้ดีกว่าการละหมาดสุนัต”

         ด้วยเหตุนี้ คงเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับเราทุกคนที่จะให้ความสำคัญต่อการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งไม่มีในคำสอนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่โง่เขลาสำหรับผู้ที่ไม่รู้ถึงความดีงามของศาสนาที่ตนเองยึดถืออยู่ และไม่ยอมปฏิบัติตามหลักการที่ศาสนาระบุไว้

 

พี่น้องผู้ศรัทธาที่มีเกียรติทั้งหลาย

         ศาสนาอิสามได้ให้คุณค่าสูงยิ่งแก่ผู้ที่มีความรู้ และจัดผู้ที่มีความรู้อยู่ในระดับที่สูงส่งเท่าๆ กันกับผู้ที่มีอีหม่าน เนื่องจากสิ่งทั้งสองนั้นต่างก็จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากอีหม่านจะไม่เกิดความสมบูรณ์ได้หากปราศจากความรู้ และความรู้จะไม่สมบูรณ์หากปราศจากอีหม่าน

อัลลอฮ์ ตรัสความว่า

“อัลลอฮฺทรงยกฐานะของบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ที่มีความรู้ทั้งหลายในหลายระดับ”

(กุรอาน 58:11)

         และผู้ที่มีความรู้นั้นย่อมเป็นคนที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ได้ยกย่องพวกเขาเหล่านั้น เนื่องจากความรู้ที่บริสุทธิ์นั้นสามารถหล่อหลอมให้บ่าวของอัลลอฮ์ กลายเป็นคนที่ซอและฮ์ มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และมีความภักดีต่อพระองค์ ดังที่พระองค์ ตรัสว่า

“แท้จริงแล้ว ผู้ที่มีความยำเกรงและภักดีต่ออัลลอฮฺจากบรรดาบ่าวของพระองค์ที่มีความรู้”

(กุรอาน 35:28)

ท่านรอซูล จัดบรรดาผู้ที่มีความรู้นั้นไว้ในกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดานบี โดยที่ท่านรอซูล กล่าวว่า

“บรรดาผู้ที่อาลีม คือ ผู้ที่สืบมรดกตกทอดจากบรรดานบี”

         จากอายะฮฺอัลกุรอาน และคำกล่าวของท่านรอซูล ดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่กระจ่างชัดแล้วว่า บรรดาอุลามะฮฺ หรือผู้รู้นั้น เป็นคนที่สืบสานความรู้แก่ชนรุ่นหลัง อิสลามได้ให้ความสำคัญแก่ประชาชาติของตน เพื่อมิให้ประชาชาติลุ่มหลงไปจากหลักพื้นฐานที่จะนำความสงบสุขที่ถาวรและแท้จริงแก่มวลมนุษย์ นั่นคือ การมีความยำเกรง ความศรัทธา และการเจริญรอยตามซุนนะฮ์ของท่านรอซูล หากไม่แล้ว ความรู้ที่สะสมมานับปีคงสูญเปล่าไร้ค่า


พี่น้องผู้ศรัทธาและมีเกียรติ ณ อัลลอฮฺทั้งหลาย

         ในสังคมบ้านเรายังมีคนจำนวนมากที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่การศึกษาหาความรู้ ยังคงปล่อยให้บุตรหลานอยู่อย่างไม่เรียนหนังสือ ไม่อบรมบ่มนิสัยให้แก่พวกเขาเท่าที่จำเป็น ไม่ส่งบุตรหลานเข้าศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับหลักคำสอนของอิสลาม เป็นผลทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่เขลาเบาวิชา มืดมน ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ในที่สุด พวกเขาเหล่านั้น ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สวนทางกับหลักคำสอนของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่า โรคทางสังคมในปัจจุบัน ที่นับวันมีแต่กระจายไปเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่เฉพาะบุตรหลานของเราเท่านั้นที่ประสบ แต่ตัวเราเองยังต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          มุสลิมบางคนแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม แต่หน้าที่ในการศึกษาหาความรู้ก็จะไม่หมดจากตัวของเขา ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อมีอายุยิ่งมาก ก็ย่อมต้องเพิ่มขีดความต้องการที่จะศึกษาหาความรู้มากขึ้น ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ ทรงสอนเรา ให้เพิ่มพูนความรู้ ดังที่พระองค์ ตรัสความว่า

“และจงกล่าวว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้าของฉัน โปรดเพิ่มพูนความรู้แก่ฉันเถิด”

(กุรอาน 20:114)

         ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนอย่าได้เป็นคนเปรียบเสมือนมดตายในน้ำหวาน เนื่องจากทุกวันนี้ เราสามารถหาความรู้จากที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าที่ปอเนาะใกล้บ้าน มัสยิด หรือแม้กระทั่งเรียนโดยผ่านสื่อทางวิทยุ หรือสื่ออินเตอร์เน็ต เป็นต้น


          ที่จริงแล้ว ผู้ที่เป็นมุสลิมนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการศึกษาสูง มีความรู้ที่หลากหลาย และมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้านของการดำเนินชีวิต ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้ประชาชาติมีการศึกษาและมีความรู้ ดังที่ท่านรอซูล  ได้สั่งให้มุสลิมทุกคนศึกษาหาความรู้ แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่ประชาชาติอิสลามจำนวนมากยังไม่ตระหนัก และไม่ให้ความสำคัญแก่คำสั่งของท่านรอซูล ทำให้เรากลายเป็นประชาชาติที่ตามหลังคนที่ไร้ซึ่งอะกีดะฮ์ที่บริสุทธิ์มาโดยตลอด

 

 

 


ที่มา : รวมคุตบะฮฺเพื่อสุขภาวะ เล่ม 2; แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทย