วันพ่อแห่งชาติ
  จำนวนคนเข้าชม  9234

 

 

วันพ่อแห่งชาติ


อาจารย์ อิมรอน สาดและ


         ท่านผู้ศรัทธาที่เคารพรักทุกท่าน การปฏิบัติดีต่อบิดามารดานั้น เป็นบัญญัติของศาสนาอิสลาม ในครั้งที่ท่าน นบีอิสมาอีล ชึ่งเป็นบุตรชายของท่านนบีอิบรอฮีม เป็นบุตรที่รักพ่อแม่ของเขา เป็นบุตรที่ภักดี ทำดีต่อบิดามารดา นั่นคือทำดีต่อท่านนบีอิบรอฮีม และท่านนบีอิบรอฮีม ผู้เป็นพ่อได้ขอร้องจากผู้เป็นหรือลูก ซึ่งเป็นการขอที่ประหลาดที่สุด และเป็นคำขอที่ยากที่จะเห็นพ่อคนใด ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนกับท่าน นบีอิบรอฮีม ขอต่อลูกคนนี้ อัลเลาะห์ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านว่า

"โอ้ลูกรัก แท้จริงพ่อฝันเห็นในขณะที่พ่อนอนหลับนั้น ว่าพ่อจะต้องเชือดเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงพิจารณาเถิดว่าเจ้าจะมีความเห็นอย่างไร"

           อิสมาอีล ผู้เป็นบุตร ด้วยความศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ ว่าพระองค์จะเมตตา ด้วยความพอใจในกฎกำหนดและคำสั่งของอัลลอฮ  อิสมาอีล ตอบกลับ กับผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าว่า

"โอ้พ่อที่รัก พ่อจงปฏิบัติตามคำสั่งที่พ่อได้ถูกบัญชาใช้เถิด พ่อจะพบว่าฉันจะเป็นผู้ที่อดทน อินชาอัลลอฮ์ "

         การที่อิสมาอีล เป็นบุตรที่ดี เชื่อฟังและทำตามคำสั่งของพ่อ ก็เพราะเขาเชื่อฟังคำสั่งของ อัลเลาะห์  นั่นเอง ในขณะที่ท่านนบีอิบรอฮีมได้ทำการจับลูกน้อย นอนตะแคงลงกับพื้น เพื่อที่จะทำการเชือดคอลูกน้อย ตามคำสั่งของ อัลเลาะห์ นั้น พระองค์ได้ให้ทางออกกับสองพ่อลูกนี้ โดยส่งมลาอีกะฮ์ มาจากฟากฟ้า และนำแกะตัวหนึ่งที่สวยงามมาทดแทน เพื่อให้อิบรอฮีม  เชือดแกะตัวนี้แทน

พระองค์ได้ตรัสว่า

"และเราได้นำเอา แกะ ที่เป็นสัตว์เชือดตัวใหญ่นำมาทดแทน ให้กับ อิบรอฮีม "

นี่คือความศรัทธาของผู้เป็นลูก นี่คือความเชื่อมั่นต่อเอกองค์ อัลเลาะห์ ของลูกบังเกิดเกล้าและพ่อบังเกิดเกล้า

 

 

         ท่านทั้งหลายคงได้ยินได้ฟัง ฮะดิษที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม ที่มีชาย 3 คนติดอยู่ในถ้ำ และไม่สามารถออกจากถ้ำได้ เนื่องจากชายทั้ง 3 คน จำเป็นที่จะต้องไปค้างคืนในถ้ำแห่งหนึ่ง และในที่สุดหินก้อนใหญ่ก็ได้เลื่อนลงมาปิดปากถ้ำ ทำให้บุคคลทั้ง 3 ไม่สามารถออกจากถ้ำได้ ในที่สุดบุคคลทั้ง 3 ได้ขอดุอาต่อ อัลเลาะห์ ด้วยกับการ ตะวัตซุ้ล นำเสนอผลงานที่ดีที่เคย ปฏิบัติไว้ในโลก ดุนยา มาอ้อนวอนต่อ อัลเลาะห์ เพื่อให้ช่วยพวกเขาออกจากถ้ำ ชายคนหนึ่งกล่าวว่า

          "โอ้ข้าแด่อัลเลาะห์ ฉันมีพ่อแม่ 2 คน เป็นคนแก่ ทั้งคู่ และฉันนำเอานมมาให้ทุกๆ คืนให้พ่อแม่ของฉันดื่มก่อนที่ลูก ๆ ของฉันจะดื่ม มีอยู่คืนหนึ่ง ฉันได้เอานมนั้นมาล่าช้า ฉันก็พบว่าท่านทั้ง 2 นอนหลับเสียแล้ว ฉันไม่กล้าที่จะปลุกพ่อแม่ของฉันเพื่อดื่มนมนั้น และไม่กล้าที่จะเอานมนี้ให้ลูกของฉันดื่มก่อนพ่อแม่

ฉันจึงยืนอยู่อย่างนั้น ในสภาพที่ถือแก้วนมอยู่ในมือของฉัน ฉันยืนรอคอยจนกว่าท่านทั้ง 2 จะตื่นขึ้นมา จนกระทั่งแสง ฟะญัร ขึ้น ในขณะนั้นลูกๆของฉันได้ร้องไห้กัน เนื่องด้วยความหิวจัด ณ ที่สองเท้าของฉันนั้นเอง จนทำให้พ่อแม่ตื่นขึ้น ฉันจึงส่งนมให้ท่านทั้ง 2 ได้ดื่ม

ข้าแด่ อัลเลาะห์ หากงานที่ฉันได้กระทำ ที่ฉันเล่าให้พระองค์ฟังนี้ เป็นงานที่ฉันมีความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรด เปิดประตูถ้ำ เพื่อให้เราได้ออกจากถ้ำนี้ด้วยเถิด ในที่สุดหินก้อนนั้นก็ได้ขยับออก ทั้งสามคนจึงได้ออกจากถ้ำอย่างปลอดภัย"

           ความจริงชายอีก 2 คน ก็มี การงานที่นำมาเล่าให้กับ อัลเลาะห์  ฟังเช่นกัน ในเรื่องนี้เป็นฮะดิษมุตตาฟากุนอาลัยฮ์ ได้บอกถึงความดีที่ลูกทำกับพ่อแม่ แม้จะต้องยืนรอนานจนกระทั่ง ถึงซุโบ๊ะฮ์ แต่ด้วยความ ตออัต ภักดีต่อพ่อแม่ อัลเลาะห์ จึงตอบแทนความดีให้

 


          การทำดีต่อพ่อแม่ คืออะไร ? มันก็คือการทำดี ปฏิบัติดี ภักดี เชื่อฟังพ่อแม่ในทุกๆอย่างนั้นเอง อัลเลาะห์ ได้กำหนดให้การทำดีต่อพ่อแม่เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นตำแหน่งที่อัลเลาะห์ พอพระทัย ซึ่งเป็นความสำคัญลำดับรองจากการเคารพภักดีต่อ อัลเลาะห์  เลยทีเดียว

          ผู้เป็นมุสลิม ผู้เป็นมุมินศรัทธาต่ออัลเลาะห์ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมุสลิมก็คือการเคารพภักดี ทำอิบาดะห์ ต่ออัลเลาะห์ โดยไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ นั้นคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตมุมิน พระองค์ ได้ตรัสไว้ในโองการในซูเราะห์ الإسراء ว่า

"อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลของเจ้าได้กำหนดให้สูเจ้าทั้งหลายอย่าได้ทำการเคารพภักดีอื่นใด เว้นแต่เฉพาะพระองค์เท่านั้น และสั่งให้ทำความดีต่อบิดามารดา"

         ในโองการนี้เราจะเห็นว่า พระองค์สั่งให้เราเคารพภักดีต่อพระองค์ ไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมุมิน เพราะจะนำมุมินเข้าสวรรค์ของอัลเลาะห์ ห่างไกลจากไฟนรกในวันอาคิเราะห์ตลอดกาล  และพระองค์ก็ได้กล่าวเรื่องการทำดีต่อบิดามารดา เป็นลำดับถัดมาเลยทีเดียว เพราะการทำดีต่อบิดามารดานั้น จะต้องทำดีให้ต่อเนื่องไม่ว่าบิดามารดาของเรา ยังมีชีวิตอยู่ หรือจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม

          มีรายงานว่าชายคนหนึ่งจาก บะนีซลามะฮ์ เขาได้มาหาท่านนบี  แล้วกล่าวว่า: โอ้ร่อซูลุ้ลลอฮ์ มีเหลือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไหมที่ฉันจะทำดีต่อบิดามารดาของฉัน หลังจากที่ท่านทั้ง 2 เสียชีวิตไปแล้ว

ท่านนบี  ตอบว่า มี

คือ ขอดุอาให้กับท่านทั้ง 2 ที่เสียชีวิตไป  ขออภัยโทษให้กับท่านทั้งสอง และปฏิบัติสิ่งที่ท่านทั้งสองได้สัญญากับคนหนึ่งคนใดไว้ให้เสร็จสิ้นไป 

ให้เกียรติกับบรรดาเพื่อน ๆ ของพ่อแม่ และเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติของบิดามารดา แม้บิดามารดาจะเสียชีวิต ไปแล้วก็ตาม

รายงานโดย [ ابن ماجه]


          ท่านพี่น้องที่เคารพ การขอดุอาให้กับบิดามารดานั้น เราไม่สมควรที่จะละทิ้ง เพราะบิดามารดาถ้าลูกที่ดีขอดุอาให้  อัลเลาะห์ จะทรงรับทันที เราทราบดีใน ฮะดิษ ที่ท่านร่อซู้ล  ได้กล่าวว่า

เมื่อลูกหลานอาดัมเสียชีวิต อาม้าลของเขาจะขาดตอนลง ยกเว้น 3 ประการ

1) การบริจาคทานญารียะห์ที่ผลบุญหลั่งไหลไปสู่เขา

2) วิชาความรู้ที่ยังประโยชน์

3) ลูกที่ซอและห์ (ทั้งผู้หญิงผู้ชาย) ขอดุอาอฺให้

ดังนั้นหลังจากการละหมาด ในทุกๆเวลาของผู้ที่เป็นลูกไม่ควรละทิ้งการขอดูอาอฺให้กับพ่อแม่ด้วยกับคำว่า

"ข้าแด่อัลลอฮ์ ขอพระองค์ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉัน และพ่อแม่ของฉัน

และได้โปรดเมตตาท่านทั้งสอง เสมือนหนึ่งที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันในขณะที่ฉันยังเยาว์วัย"

 

ท่านพี่น้องที่เคารพ การทำดีต่อบิดามารดานั้น มีความประเสริฐมากมายเหลือเกิน

ท่านนบี  ได้ถูกถามว่า การงานใดที่เป็นที่รักยิ่งที่สุด ณ อัลลอฮฺ

ท่านนบี  ตอบว่า การละหมาดในเวลาของมัน

ชายผู้นั้นถามต่อไปว่าหลังจากนั้นคืออะไร

ท่านนบี  ตอบว่า หลังจากนั้นคือการปฏิบัติดีต่อพ่อแม่

ชายผู้นั้นถามต่อไปว่า หลังจากนั้นคืออะไร

ท่านนบี  ตอบว่า  การออกทำสงครามเพื่อศาสนาของ อัลลอฮ์

          จากหะดีษ นี้ได้บ่งบอกชัดเจนว่า การงานที่สำคัญที่สุดในโลกดุนยา คือ การละหมาดห้าเวลาชนิดให้ตรงเวลา หลังจากนั้นคือการปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ แม้การทำญิฮาด ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ  ซึ่งถือว่าเป็นการงานที่ประเสริฐยิ่ง หากผู้ใดตายในสมรภูมิรบจะได้เข้าสวรรค์โดยไม่ต้องสอบสวน แม้กระนั้นก็ยังเป็นรองในเรื่องการปฏิบัติดีต่อพ่อแม่

ท่านนบี ได้กล่าวว่า

"ใครสร้างความยินดีให้บิดามารดาทั้งสอง อัลลอฮ์ จะยินดีกับเขาผู้นั้น

และใครก็ตามที่สร้างความโกรธให้กับบิดามารดา อัลลอฮ์ จะทรงโกรธเขาผู้นั้น"

         เราก็ทราบกันดีว่า สวรรค์นั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา ในสมัยท่านนบี บรรดาซอฮาบะฮ์ ต่างอยากได้สวรรค์ของอัลลอฮ์ ทุกคนต้องการที่จะเสียสละชีวิต ต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนาของอัลลอฮ์

         มีชายคนหนึ่ง มาหานบี  ต้องการจะออกญิฮาด(ต่อสู้ข้าศึกที่จะมาทำลายล้างอิสลาม) ปรากฏว่าท่านนบี  ได้ใช้ให้ชายผู้นี้กลับไปทำดีต่อผู้เป็นแม่ แต่ชายผู้นี้ปรารถนาอยากจะออกสงครามเพื่อปกป้องศาสนาอิสลามของอัลลอฮฺ ปรากฏว่าท่านนบี  ได้ใช้ให้ชายผู้นี้กลับไปบ้าน ไปทำดีต่อผู้เป็นแม่  ในครั้งที่สาม ชายผู้นี้ยังปรารถนาอยากจะออกไปทำสงคราม

ท่านนบี  ตอบชายผู้นี้ว่า

"ความพินาศจงประสพกับเจ้า ! เจ้าจงกลับไปดูแลแม่ของเจ้าเถิด ที่นั่นมีสวรรค์อยู่"

(รายงานโดย ابن ماجه )

 

          ท่านพี่น้องที่เคารพ ความสำคัญของผู้เป็นพ่อและแม่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ใครที่ดูแลพ่อแม่ สร้างความดีอกดีใจ สร้างความพอใจให้กับพ่อแม่ สวรรค์รอเราอยู่ข้างหน้า แม้ว่าพ่อแม่ของเราไม่ได้เป็นมุสลิมก็ตาม มีหลายคนที่เป็นคนมุอัลลัฟ เข้ามารับนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะต้องปฏิบัติดีต่อบิดามารดาของเขา แม้จะไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

          มีรายงานว่า ท่าน ซะอัด บุตร อบีวักกอส เป็นคนที่ทำดี ต่อแม่เป็นที่สุด รักแม่ที่สุด หลังจากที่เขาได้เข้ามารับนับถือศาสนาอิสลาม แม่ของเขา(ซึ่งเป็นคนมุซริกะฮ์) ไม่ใช่มุสลิมได้กล่าวกับ ซะอัด ว่า

          โอ้ซะอัด(ลูก)เอ๋ย   อะไรกันหนอ ที่แม่เห็นเจ้ากำลังนับถืออยู่นั้น  เจ้าจะเลิกนับถือโดยละทิ้งศาสนาอิสลาม หรือ จะให้แม่นั้นอดน้ำอดข้าวจนกว่าแม่จะเสียชีวิตต่อหน้าเจ้า  และในที่สุดเจ้าก็จะต้องถูกตำหนิ ผู้คนจะตำหนิเจ้าที่เป็นเหตุให้ แม่นั้นเสียชีวิต เขาเหล่านั้นก็จะกล่าวกับเจ้าว่า โอ้ผู้ที่ฆ่าแม่

ท่านซะอัดกล่าวกับแม่ว่า

โอ้แม่ที่รัก แม่อย่าทำเช่นนั้นเลย  ถึงอย่างไรฉันก็จะไม่ละทิ้งศาสนาของฉัน เพื่อไปแลกกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเด็ดขาด (เพราะนี่คือ อิสลาม)

ปรากฏว่าแม่ของสะอัดคงสภาพนั้นทั้งวัน และทั้งคืน ในวันนั้นและคืนนั้นนางไม่ได้กินและไม่ได้ดื่มอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวจนกระทั่งนางนั้นหิวจัด  ขนะนั้นท่านซะอัดผู้เป็นลูกก็กล่าวกับแม่ ว่า

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ แม่รู้ไว้เถิด โอ้แม่ที่รัก หากแม้ว่าแม่เหลือลมหายใจอยู่อีก ๑๐๐ ครั้ง และลมหายใจนี้ค่อยหมดไปหมดไป ทีละ ๑ ครั้งๆ จนลมหายใจครั้งสุดท้ายและเสียชีวิตไป ฉันจะไม่ละทิ้งศาสนานี้ เพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเด็ดขาด ถ้าแม่มีความประสงค์ แม่จงกินข้าวกินน้ำเสีย แต่หากแม่มีความประสงค์จะอด แม่ก็ไม่ต้องกินต้องดื่ม

เมื่อผู้เป็นแม่เห็นลูกยืนยันที่จะปฏิบัติตามหลักการอัลอิสลาม ไม่ยอมทำตามใจแม่ ในที่สุด แม่ก็ยอมกินอาหารจึงไม่เสียชีวิต

อัลลอฮ์ จึงได้ประทานโองการต่อไปนี้

"หากแม้ว่าพ่อแม่ทั้งสองของเจ้าได้บังคับเจ้าให้ตั้งภาคีต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ เจ้าอย่าได้ปฎิบัติตามพ่อแม่ทั้งสอง

แต่เจ้าจะต้องปฏิบัติดีต่อท่านทั้งสองอย่างดีในโลกดุนยา"

(ซูเราะฮฺลุกมาน)


         ดังนั้นท่านพี่น้องที่เคารพ หน้าที่ของผู้ที่เป็นมุมิน ผู้ที่เป็นลูกจะต้องทำดีต่อพ่อแม่ทั้งสอง ไม่ว่าพ่อแม่ทั้งสองจะเป็นมุสลิมหรือไม่ได้เป็นมุสลิมก็ตาม ผู้ที่ทำการทรยศ ต่อพ่อแม่ทั้งสองนั้นมีบาปร้ายแรง แม้เพียงแค่กล่าวคำว่า อุฟ ปฏิเสธแม่ด้วยคำนี้ หรือประโยคใดก็ตามอัลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า

"เจ้าอย่าได้กล่าวกับพ่อแม่ทั้งสอง ด้วยกับคำว่า อุฟ และอย่าได้ขู่ตะคอกพ่อแม่ทั้งสอง แต่เจ้าจะต้องกล่าวด้วยคำพูดที่อ่อนโยน คำพูดที่ไพเราะ"


         ท่านพี่น้องที่เคารพ การตอบแทนผู้ที่ทรยศต่อบิดามารดา นั้นรุนแรงเหลือเกิน ขอฝากหะดิษ สุดท้ายนี้ไว้ โดยท่านรอซูลลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า

(احبه في ن، فإن الله يعجله لصكل الذنوب يؤخِّر الله منها ما شاء إلى يوم القيامة إلا عقوق الوالديالحياة قبل الممات) [البخاري].

"ทุก ๆ บาปที่มนุษย์ได้ก่อขึ้น อัลลอฮ์  จะประวิงการลงโทษไว้ในวันกิยามะฮ์ตามที่พระองค์ประสงค์ เว้นแต่การทรยศต่อบิดามารดา

แท้จริง อัลลอฮ์ จะรีบเร่งลงโทษบุคคลคนที่ทรยศ ต่อบิดามารดาในโลกดุนยาก่อนที่เขาจะตายจากไป"

 


          ดังนั้นท้ายที่สุดนี้ จึงขอเตือนสติพวกเราที่ได้ปล่อยให้พ่อแม่ของเราอยู่ตามลำพังก็ดี ไม่เคยดูแลบิดามารดา ในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ จงหันมาทบทวนชีวิตของเรา เพราะ เขาทั้งสองจะเป็นเหตุให้เราเข้าสู่สรวงสวรรค์ และจะเป็นเหตุให้เราได้รับความสุขในโลกดุนยา

 


คุตบะห์ วันศุกร์ ณ มัสยิดท่าอิฐ