การยึดมั่นตามบรรพชนสลัฟ
  จำนวนคนเข้าชม  12698

 

การยึดมั่นตามบรรพชนสลัฟ

 

 

โดย… อ.อิสมาอีล กอเซ็ม

 

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

 

           คำสอนอิสลามถูกส่งจากมายังท่านนบี ท่ามกลางความวุ่นวายความแตกแยกของชนเผ่าอาหรับที่ไร้อารยะธรรม ใช้ชีวิตแบบชนเผ่าที่ไม่มีความรู้ คนเข้มแข็งจะอธรรมผู้อ่อนแอ ท่านนบี ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอิสลามเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม และสามารถรวมพวกเขาไว้ได้ภายใต้หลักความเชื่ออันเดียวกัน และแนวทางเดียวกัน 

 

         จากการที่ท่านนบี ได้ถูกส่งมาท่านสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมแห่งความงมงายของชาวอาหรับ ที่ตกอยู่กับการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ตกอยู่กับการต่อสู้ฆ่าฟันกันมาอย่างยาวนาน และอบายมุขต่างๆ ที่แพร่หลายในสังคม ดังนั้นการเอาใจใส่ในเรื่องหลักความเชื่ออันบริสุทธิ์เป็นสาเหตุเดียวที่จะนำพาความผาสุกให้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์

อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ว่า


أَلَّفَ مَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنتُمْ أَعْدَاءً فَوَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا وَاذْكُرُوا نِعْقال الله تعالى : كَ يُبَيِّنُ فْرَةٍ مِّنَ النَّارِ فَأَنقَذَكُم مِّنْهَا كَذَٰلِإِخْوَانًا وَكُنتُمْ عَلَىٰ شَفَا حُبَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُم بِنِعْمَتِهِ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ ( 103 ) 

        "และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์ โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์ 
 

และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง"

         นี่คือความโปรดปรานที่อัลลอฮฺได้ประทานให้แก่กลุ่มชนที่มีการขัดแย้งกัน ทะเลาะกันอยู่ตลอด มีการอธรรมซึ่งกันและกัน มีการเข่นฆ่ากันโดยไม่สามารถหาข้อยุติได้ และความเลวร้ายอีกมากมาย แต่อัลลอฮฺได้ประสานหัวใจของพวกเขาด้วยกับอิสลาม ด้วยกับหลักความเชื่อในอิสลามทำให้พวกเขาได้กลายมาเป็นพี่น้องกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นศัตรูกัน นี่คือสิ่งที่อิสลามได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคำสอนที่สูงส่งที่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของมนุษย์ได้ 

          ดังนั้นการหันหลังให้กับแนวทางของบรรดานบี และเหล่าศอหาบะห์ ตลอดจนแนวทางของบรรดาผู้ที่เจริญตามแนวทางของบรรดานบีและชนสลัฟรุ่นก่อนนั้น มันเป็นที่มาของปัญหาและความขัดแย้ง และเมื่อเรามีความขัดแย้งกันมันก็เป็นสาเหตุให้มุสลิมตกต่ำอ่อนแอ และทำให้บรรดาผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิสลามมามีอิทธิพลหรือบรรดามุสลิม จนหลายๆประเทศที่มีมุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะนำหลักการอิสลามมาปกครองได้ เนื่องจากการขาดความรู้ในเรื่องอิสลาม และการขาดความเข้าใจในแนวทางของบรรดาชนสลัฟรุ่นก่อน 


         การกลับไปศึกษาแนวทางการยึดมั่นในหลักความเชื่อของชนสลัฟรุ่นก่อนๆนั้น เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ และการเข้าใจวิถีทางในการดำเนินชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อ การประกอบศาสนกิจ การปฏิสัมพัน กับผู้คนที่หลากหลาย มารยาท และความประพฤติ การกลับไปยึดมั่นปฏิบัติตามบรรพชนสลัฟในอดีตที่ได้กระทำไว้นั้นเป็นบ่อเกิดของความดีทุกๆอย่างที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแกร่งของบรรดามุสลิม หรือ ด้านความเจริญในรูปแบบต่างๆ ที่มุสลิมจำเป็นต้องพัฒนาไปตามยุคสมัย 

ท่านอิหม่าม มาลิกรอฮิมาฮุลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า:

لن يصلح آخر هذه الأمة إلا بما صلح به أولها

 

“ประชาติสุดท้ายนี้จะรุ่งเรืองขึ้นมาไม่ได้ เว้นแต่ด้วยกับแนวทางที่คนรุ่นก่อนได้รุ่งเรืองมาแล้ว”

          ดังนั้นหากเราทุกคนที่เป็นมุสลิมหันกลับไปนำวิถีชีวิตของชนรุ่นก่อนมาใช้จริงในการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นเพียงความเข้าใจแค่ทฤษฎีที่เป็นเพียงคำพูด หรือมีการเขียนที่แพร่หลายในสังคมปัจจุบัน ในรูปแบบสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวารสาร หนังสือ อินเตอร์เน็ต และอีกมากมายจากสื่อสารที่ทันสมัยที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ เราจะพบข้อมูลมากมายที่นำเสนอเรื่องราวของศาสนา นำเสนอซุนนะห์ แต่ในเชิงของรูปธรรมยังไม่เห็นเด่นชัด ดังนั้นการฟื้นฟูซุนนะห์ของท่านนบี  เป็นหน้าที่ของมุสลิมจะต้องตระหนักร่วมกัน และจะต้องมีความร่วมมือกันในการทำให้แนวทางอะลุซซุนนะห์ให้ปรากฏอย่างเด่นชัด 

         จุดเด่นของอะลุซซุนนะห์นั้นจะไม่มีการแตกแยกออกจากกันถึงแม้จะมีความขัดแย้งกันในบางประเด็น ที่บรรดานักวิชาการในอดีตเขาก็เคยขัดแย้งกัน นอกจากความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อเท่านั้น ดังนั้นความขัดแย้งของชาวอะลุซซุนนะห์ จะยังคงมีความรักซึ่งกันและกัน มีความร่วมมือในสิ่งที่เป็นความดี และสิ่งที่นำไปสู่ความยำเกรงของอัลลอฮฺ และมีความเมตตาซึงกันและกัน หากจะตักเตือนกันก็จะใช้วิธีการที่อ่อนโยน รักที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นไม่ชอบความแตกแยก 

         แม้กระทั่งในกรณีที่เราเขาถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ปกครองที่อธรรมนั้น ชาวอะลุซซุนนะห์ยังให้อดทนต่อความอธรรมของผู้นำ ไม่อนุญาตให้จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ผู้นำหรือออกจากการเชื่อฟังผู้นำ ตราบใดที่ผู้นำยังไม่มีสิ่งที่ระบุว่า เขาหมดสภาพจากการเป็นมุสลิม เพราะการจับอาวุธขึ้นมาต่อต้านผู้นำนั้นมีผลเสียมากกว่าผลดี นำมาซึงการสูญเสียทรัพย์สิน ความสงบสุขของบ้านเมือง เหมือนที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นความขัดแย้งต่างๆที่ชาวอะลุซซุนนะห์ขัดแย้งกันเขาจะต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสิน เขาจะต้องนำความขัดแย้งกลับไปหาอัลลอฮฺและรอซูล  ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า



وهُ إِلَى كُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِني وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًارَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَٰلِكَ خَيْرٌاللَّهِ وَال (  ( 59


          "ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง"
 

(สูเราะห์ อันนิซาฮฺ อายะห์ที่ 59)

         นี่คือทางออกของความขัดแย้งทุกอย่าง เมื่อเราขัดแย้งกันให้กลับไปหาความเข้าใจและข้อตัดสินของอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ โดยไม่ได้ยึดเอาอารมณ์ของเราเป็นที่ตั้ง และการที่จะกลับไปหาความเข้าใจต่ออัลกุรอานและอัลหะดีษ ก็ต้องอาศัยบรรดาผู้รู้และแน่นอนคงไม่มีใครเข้าใจจุดประสงค์ของอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ ดีไปกว่าชนสลัฟในยุคศอหาบะห์และยุคหลังจากพวกเขาที่นบี  รับรองว่าเป็นยุคที่ดีที่สุด ก็คือยุคสามร้อยปีแรกๆ

         ส่วนหนึ่งจากเครื่องหมายของการเป็นนบีผู้สัตย์จริงของท่านนบี คือ สิ่งที่ท่านบอกไว้ว่า "ในอนาคตข้างหน้าจะเกิดความขัดแย้งอย่างมากมาย" และมันก็เกิดขึ้นตามที่ท่านนบี  ได้เตือนเหล่าศอหาบะห์และประชาชาติอิสลามไว้ว่า ใครที่มีชีวิตหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว จะเห็นความขัดแย้ง ความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างมากมาย ท่านได้สอนบรรดามุสลิมผู้ศรัทธาว่า ใครที่มีชีวิตอยู่ในยุคที่มีความแตกแยกกันมากนั้น จำเป็นที่เขาต้องยึดมั่นด้วยกับซุนนะห์ของท่าน และซุนนะห์ของบรรดาคอลีฟะห์ที่ปกครองหลังจากท่าน โดยเฉพาะคอลีฟะห์ทั้งสี่ คือ อาบูบักรฺ อุมัร อุสมาน อาลี รอฎิยัลลอฮูอันอุม ดั่งหะดีษของท่านนบี  ต่อไปนี้



وعن العرباض بن سارية رضي الله عنه قال: وعظنا رسول الله صلى الله عليه وسلم موعظة بليغة، قلنا: يا رسول الله كأنها موعظة مودع فأوصنا قال: « أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللهِ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإنْ تَأمَّر عَلَيْكُمْ عَبْدٌ حَبَشِيٌّ، وَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اختِلافاً كَثيراً، فَعَليْكُمْ بسُنَّتِي وسُنَّةِ الخُلَفاءِ الرَّاشِدِينَ المَهْدِيِيِّنَ عَضُّوا عَلَيْهَا بالنَّواجِذِ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأُمُورِ؛ فإنَّ كلَّ بدعة ضلالة ». [أخرجه : أبو داود ( 4607 ) ، وابن ماجه ( 43 ) ، والترمذي ( 2676 ) وقال: حديث حسن صحيح]

         มีรายงานจากท่าน อัลอิรบาฎ บิน ซารียะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮู ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้ให้คำตักเตือนแก่พวกเรา เป็นคำตักเตือนที่ลึกซึ้ง เราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ เสมือนว่า มันเป็นคำตักเตือนอำลา ดังนั้นท่านโปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด 

         "ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ให้มีการเชื่อฟังปฏิบัติตาม หากแม้นว่าเขาเป็นทาสชาวหาบาชีย์ได้เป็นผู้นำแก่พวกเจ้า และแท้จริงใครมีชีวิตอยู่จากพวกเจ้า แล้วเขาจะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้นจำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องยึดมั่นต่อซุนนะห์ของฉัน และซุนนะห์ของบรรดาคูลาฟาฮฺอัรรอชีดีน(คอลีฟะห์ที่ได้รับการชี้นำอยู่ในทางนำที่ถูกต้อง) พวกท่านจงกัดมัน ด้วยกับฟันกราม และพวกท่านพึงระวัง จากการกระทำขึ้นมาใหม่ของกิจการงาน (อุตริขึ้นมาในศาสนา) เพราะว่าทุกการอุตริ คือความหลงผิด "

(บันทึกโดย อาบูดาวุด หะดีษที่ ๔๖๐๗ อิบนูมายะห์ดีษที่ ๔๓ อัตติรมีซีย์ หะดีษที่ ๒๖๗๖ อัตติรมีซีย์ได้กล่าวไว้หะดีษนี้เป็นหะดีษที่ถูกต้อง)

          ในหะดีษนี้ได้บอกถึงยุคหนึ่งที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ความขัดแย้งที่ว่านั้นคือ ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา จะเกิดกลุ่มคนมากมายซึงแต่ละกลุ่มนั้นจะอ้างความถูกต้องอยู่กับกลุ่มของตัวเอง มีการตัดสินกลุ่มที่ไม่เห็นตรงกับตัวเองเป็นผู้หลงผิดบ้าง เป็นคนชั่วบ้าง หรือบ้างครั้งถึงขั้นฮุกุมกันให้ออกจากศาสนากันเลยทีเดียว จนกระทั่งประชาชาตินี้จะแตกออกเป็น 73 กลุ่ม ดังนั้นเมื่อสภาพของมุสลิมอยู่ในสภาพที่แตกแยกมีกลุ่มมากมายที่เกิดขึ้นต่างก็อ้างความถูกต้อง ดังนั้นท่ามกลางความขัดแย้งในเราจำเป็นต้องไปศึกษาถึงแนวทางของท่านนบี  และเหล่าศอหาบะห์ของท่าน โดยเฉพาะบรรดาคอลีฟะห์ทั้งสี่ โดยอาศัยความรู้จากบรรดาผู้ที่มีความรู้ และปฏิบัติตามความรู้ของเขาและเป็นผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางของอัซซุนนะห์ และจะต้องระวังการกระทำต่างๆ ที่คิดขึ้นมาใหม่ และมันค้านกับหลักศาสนา ถือว่ามันเป็นการอุตริ และทุกการอุตรินั้นคือ หนทางที่ทำให้เราออกจากแนวทางที่เที่ยงตรงไปสู่ความหลงผิด

ประโยชน์ที่ได้รับจากหะดีษนี้

     ๑. ต้องให้ความร่วมมือกับผู้นำไม่ว่าผู้นำจะเป็นคนแบบไหนตระกูลดีหรือไม่ดี หรือแม้กระทั่งจะเป็นทาสผิวดำก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ ในสิ่งที่ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ

     ๒. ในยามที่ความขัดแย้งเกิดนั้น จำเป็นที่เราต้องยึดมั่นต่ออัซซุนนะห์ของท่านนบี และบรรดาแนวทางของบรรดาคอลีฟะห์อัรรอชีดีน อาบูบักรฺ อุมัร อุสมาน อาลี รอฎิยัลลอฮูอันฮุม การยึดมั่นนั้นต้องมั่นคง และพึงระวังจากการอุตริกรรมในศาสนา เพราะการอุตริในศาสนานั้นคือความหลงผิด

        ดังนั้นปัจจุบันเราเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะสังคมมุสลิมมีความวุ่นวายเกิดขึ้น และยิ่งทวีความเกลียดชัง การดูถูกเหยียดหยามกันระหว่างมุสลิม การฮุกุมตัดสินกันง่ายๆ การเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองคือผู้ที่ได้ดำเนินอยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง จากความแตกแยกนั้นทำให้ประชาชาติอิสลามตกอยู่กับความตกต่ำ เหล่าผู้ไม่หวังดีต่ออิสลามก็ฉวยโอกาสเมื่อบรรดามสลิมขัดแย้งกัน จะมาแทรกแซงและเข้ามาปกครองมีอำนาจเหนือบรรดามุสลิม ดังนั้นการเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านนบี  นั้น คือทางรอดที่ออกจากความวุ่นวยและความขัดแย้งต่างๆ 

          ฉะนั้นจงจริงจังกับการทำความเข้าใจในซุนนะห์ของท่านนบี เพื่อเราจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺและความดีงามต่างๆ จะคืนกลับสู่สังคมของเรา

 

          ขออัลลอฮฺได้โปรดประทานความรักความเมตตาและยึดมั่นในแนวทางของพระองค์และซุนนะห์ของนบี  และปกป้องบรรดามุสลิมให้รอดพ้นจากความวุ่นวายและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ....อามีน