ประชาชาติเดียวกันเป็นไปได้หรือไม่ ?
  จำนวนคนเข้าชม  7132

 

ประชาชาติเดียวกันเป็นไปได้หรือไม่ ?


 

อบูชีส  แปลและเรียบเรียง

 

         การที่บรรดามุสลิมจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมกันกับที่ระหว่างพวกเขามีความแตกต่างทางด้านหลักความเชื่อและแนวทางนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ?


 

ประการแรก

 

          แท้จริงความแตกต่าง(เห็นต่าง)ของมุนษย์ระหว่างพวกเขาในด้านอะกีดะห์(ความเชื่อ) และแนวทางนั้นเป็นรูปแบบการสร้างของอัลลอฮ์ และพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า มันจะต้องเกิดขึ้นในปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสถึงเดชานุภาพของพระองค์ในการที่พระองค์นั้นสามารถที่จะรวมมนุษย์ทั้งหมดให้อยู่ในศาสนาเดียวกัน แต่ทว่าอัลลอฮ์ ตะอาลา นั้นเป็นผู้ทรงมีวิทยปัญญาที่ล้ำลึกในการที่ไม่ให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้น เพื่อที่จะตอบแทนให้แก่บรรดาผู้เชื่อฟังที่ให้เอกภาพ และเพื่อลงโทษบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืน และบรรดาผู้ตั้งภาคี 

 

         มาตรแม้นว่าอัลลอฮ์จะทำให้มนุษย์นั้นเป็นประชาชาติเดียวกัน ความประเสริฐของการให้เอกภาพและบรรดาผู้ให้เอกภาพก็จะไม่ปรากฏขึ้น และความน่ารังเกียจของความฝ่าฝืนและบรรดาผู้ฝ่าฝืนก็จะไม่ปรากฏขึ้น และสำหรับอัลลอฮ์พระองค์ทรงพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงวิทยปัญญา(เหตุผลอันนุ่มลึก)ของพระองค์ ในความแตกต่าง(เห็นต่าง)ที่ให้ประจักษ์ขึ้นในปวงบ่าวของพระองค์
 

ดังที่อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ว่า

 

         “และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แน่นอนพระเองค์จะทรงทำให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน เว้นแต่ผุ้ที่พระเจ้าของเจ้ามีเมตตา และเช่นนั้นแหละพระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา และลิขิตของพระเจ้าทรงกำหนดไว้สมบูรณ์แล้ว แน่นอนข้าจะให้นรกนั้นเต็มไปด้วยพวกญินและมนุษย์ทั้งหมด” 
 

( ฮูด 911 ، 811)

 

         ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอบรี ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า(ในอายะห์ข้างต้น) : พระองค์อัลลอฮ์ ทรงดำรัสประหนึ่งว่า : "และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ โอ้ มุฮัมหมัดเอ๋ย พระองค์ก็จะทำให้มนุษย์นั้นเป็นกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน อยู่บนแนวทางเดียวกัน อยู่บนศาสนาเดียวกัน"

 

          ท่านฮาฟิซ อิบนุกะซีร ร่อหิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ว่า : พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ว่า "พระองค์นั้นทรงเดชานุภาพต่อการที่จะทำให้บรรดามนุษย์ทั้งปวงนั้นเป็นประชาติเดียวกันได้ จากความศรัทธา หรือการปฏิเสธ"

 

 ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

 
"และหากพระเจ้าของเจ้าจงประสงค์แน่นอนผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา" และตรัสอีกว่า “แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน เว้นแต่ผุ้ที่พระเจ้าของเจ้ามีเมตตา” 

         คือ ความขัดแย้งท่ามกลางมวลมนุษย์ในด้านศาสนา และความเชื่อในแนวทางต่างๆ และในสำนักคิดต่างๆของพวกเขา และมุมมองความคิดต่างๆ ก็ยังคงจะมีต่อไป


 

เช็ค อับดุรเราะห์มาน อัสสะอ์ดี้ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ว่า :

 
         อัลลอฮ์ ตรัสไว้ว่า แท้จริง หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์นั้นเป็นประชาชาติเดียวกันอยู่บนศาสนาอิสลามแล้วไซร้ ดังนั้นพระประสงค์ของพระองค์จะไม่ถูกจำกัด และไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้ แต่ทว่าวิทยปัญญา(เหตุผลที่ล้ำลึก)ของพระองค์จึงจำเป็นให้ความขัดแย้งยังคงมีอยู่
 

        บรรดาผู้ขัดแย้งต่อหนทางที่เที่ยงตรง คล้อยตามหนทางต่างๆที่นำไปสู่นรก ทุกคนต่างเห็นว่าเขานั้นยืนอยู่บนสัจจธรรมในทรรศนะของเขา และความหลงผิดนั้นอยู่ในทรรศนะของผู้ที่เห็นต่าง 
 

อัลลอฮ์ตรัสว่า : “เว้นแต่ผู้ที่พระเจ้าของเจ้ามีเมตตา”


         คือ พระองค์ทรงชี้นำทางพวกเขาไปสู่ความรู้ ในสัจธรรมและการปฏิบัติ และการเห็นพ้องต้องกัน พวกเขาเหล่านี้ความสำเร็จได้ถูกกำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว   ส่วนบุคคลอื่นจากคนเหล่านี้ พวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ต่ำต้อย บรรดาผู้มอบหมายไว้กับตัวเอง และพระองค์ทรงตรัสไว้อีกว่า:


 

( وَلِذَلِكَ خَلَقَهُمْ )      “และเช่นนั้นแหละพระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา”

 

         คือ วิทยปัญญา(เหตุผลอันล้ำลึก)ของพระองค์จึงทำให้พระองค์สร้างพวกเขาขึ้นมา เพื่อให้มีจากพวกเขาไม่ว่าจะความสุข หรือความทุกข์ ทั้งเห็นพ้องและขัดแย้ง และกลุ่มที่ได้รับทางนำ และกลุ่มที่เหมาะสมที่จะได้รับความหลงผิด เพื่อจะชี้แจงให้บ่าวนั้นได้รู้ถึงความยุติธรรมของพระองค์ และวิทยปัญญาของพระองค์ และให้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วได้ปรากฎ และเพื่อที่จะให้มีการยืนหยัดในการขับเคลื่อนด้านญิฮาดและอิบาดะห์ และสิ่งเหล่านั้นจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลย เว้นเสียแต่จะต้องได้รับการทดสอบเท่านั้น


 

ประการที่สอง

 

         บรรดามุสลิมจะรวมตัวเป็นเอกภาพบนสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันอื่นจากการให้เอกภาพและหลักการยึดมั่นได้อย่างไร ? แท้จริงผู้ที่พิจารณาดูสภาพต่างๆของบรรดามุสลิม ก็จะพบว่าพวกเขามีหลากหลายสถาบัน หลายกลุ่ม หลายก๊ก และความเห็นต่างมากมาย ทุกคนก็ต่างพอใจในแนวทางการทำความเข้าใจตัวบทหลักฐาน และรูปแบบการปฏิบัติศาสนาอิสลาม ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้ง แตกแยก แตกกอ หากว่าพวกเขาพอใจให้แนวทางเดียวกัน และความเชื่อเดียวกัน แน่นอนเขาจะรวมตัวกันได้อย่างแน่นอน และกลายเป็นประชาชาติเดียวกันในท้ายที่สุด แต่ทว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้นำกลุ่ม และพรรคต่างๆ 

        สำหรับหลักการยึดมั่นที่ถูกต้องแท้จริง คือเส้นทางแห่งการให้เอกภาพ ทว่าพวกเขามองว่าอะกีดะห์ที่ถูกต้อง คือตัวการที่ทำให้บรรดามุสลิมแตกแยก เหมือนดังที่หัวโจกบางคนของพวกเขาเชื่อมั่นอย่างนั้น! และมันคือคำพูดที่เลวร้าย การรวมตัวบรรดามุสลิมให้เป็นเอกภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากว่ายังมีคนพูดเยี่ยงนี้


         ท่านนบี มายังมนุษยชาติในสภาพที่พวกเขาเป็นพรรคเป็นพวก เป็นกลุ่มเป็นก้อน และหลากหลายเชื้อชาติ ต่างความคิด ต่างศาสนา ในหมู่พวกเขามีผิวขาว ผิวดำ มีผู้ชาย ผู้หญิง มีคนไม่รู้และคนรู้ มีทั้งคนรวยและคนจน มีทั้งสูงศักดิ์และต่ำต้อย แต่ท่านนบี  ไม่เคยรวมพวกเขาบนภาษาหนึ่งใด และไม่อยู่บนผืนแผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใด หรือบนความคิดของมนุษย์คนใด ทว่าท่านนบีได้รวมพวกเขาอยู่บนสิ่งที่ถูกปกป้อง ไม่มีสิ่งโมฆะใดๆที่จะมาแปดเปื้อนไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ท่านนบี  รวมพวกเขาบนอัลกุรอาน และการให้เอกภาพ(เตาฮีด) และนี่คือหนทางเดียวที่จะรวมตัวบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนพื้นฐานความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ความปรารถนา ภาษา และถิ่นฐาน และจะไม่พบสิ่งที่ดีกว่าการเป็นเอกภาพ การรวมตัวและประสานสัมพันธ์

          แต่เมื่อการรวมตัวมีจุดมุ่งหมายที่จะรวมผู้คนบนความคิดของมนุษย์ที่เป็นไปได้ว่าจะมีความบกพร่อง และถูกตอบโต้ ถูกปรับเปลี่ยน ถูกลบทิ้ง นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถจะเป็นวิธีการที่จะรวมมวลมุสลิมได้ เมื่อตั้งใจที่จะรวมมวลชนเข้าด้วยกัน และรวมพวกเขาในประเด็นทางการเมือง ประการนี้ก็ไม่สามารถรวมผู้คนได้เช่นกัน เพราะความเข้าใจ และทรรศนะแตกต่างกันในมุมมองทางการเมือง การรวมตัวของบรรดามุสลิม และการเอาหัวใจแขวนไว้กับประเทศชาติและแผ่นดินของทุกจิตใจนั้นก็ไม่สามารถทำได้ด้วยกับประการนี้ ดังนั้นจึงไม่เหลือหนทางใดต่อมุสลิมเลย เว้นแต่ หลักการยึดมั่นที่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งแหล่งที่มาของมันคือ ตัวบทโองการที่ถูกปกป้อง(จากความผิด) และชนยุคหลังจะไม่มีวันได้รับความดีเว้นแต่สิ่งที่ชนรุ่นแรกได้รับความดีมาก่อน


ประการที่สาม

 

         อันเนื่องจากว่าแท้จริงสาเหตุทั้งหลายที่ทำให้บรรดามุสลิมแตกแยกกัน ที่ยังคงยืนหยัดอยู่นั้น แท้จริงแล้วการแตกแยก คือผลพวง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิชาการได้กล่าวไว้หลายสาเหตุด้วยกัน

         อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ได้รวบรวมสาเหตุต่างๆไว้สามประการ  คือ ความโง่เขลา  ปฏิบัติตามอารมณ์ และปฏิบัติตามบรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์แบบตาบอด  ท่านได้กล่าวอีกว่า  ทุกความขัดแย้งบนลักษณะที่ถูกกล่าวไว้หลังจากที่สิ่งดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นสำหรับมันมีสามสาเหตุ บางทีก็รวมทั้งหมด(ทั้งสามสาเหตุ) บางทีก็ไม่รวม(ในตัวบุคคล)


ประการแรก ความโง่เขลา

         การที่มนุษย์นั้นเชื่อมั่นในตัวเอง หรือเชื่อว่าเขานั้นเป็นหนึ่งจากผู้มีความรู้ และวิเคราะห์หลักการศาสนาได้ แต่ในความเป็นจริงเขายังไม่บรรลุถึงระดับนั้น เขากลับปฏิบัติต่อสิ่งดังกล่าว และนับว่าความคิดเห็นของเขาคือทรรศนะหนึ่ง และทรรศนะที่เห็นต่างก็คือความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักการยึดมั่น หรือจากหลักการปฏิบัติ และบางครั้งก็ยึดเอาบางส่วนจากบทบัญญัติในการทำลายบทบัญญัติทั้งหมด จนกลายเป็นว่าบางส่วนที่เขายึดมานั้น ปรากฏว่าเขาคือผู้ริเริ่มทรรศนะของเขาเองโดยปราศจากความลึกซึ้งในความหมายและขาดความเข้าใจในจุดประสงค์ของบทบัญญัติ และสิ่งนี้แหละเขาคือ ผู้อุตริ 

ฮะดิษซ่อเฮียะห์ได้เตือนไว้ ท่านนบี กล่าวว่า

“แท้จริง อัลลอฮมิได้ทรงถอนเอาความรู้ออกไปโดยฉวยออกไปจากปวงชนอย่างทันที
 

แต่พระองค์ทรงถอนเอาความรู้ออกไปโดยการเก็บผู้มีความรู้ จนกระทั่งไม่มีผู้รู้เหลืออยู่
 

ประชาชนก็จะยึดคนโง่เขลาเป็นหัวหน้า ถามปัญหากับเขา เขาเหล่านั้นก็ออกคำวินิจฉัยโดยไม่มีความรู้

ตัวเขาเองก็หลงและพลอยให้ผู้อื่นหลงไปด้วย”


ประการที่สอง ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ

        จากสาเหตุของการขัดแย้ง คือ การตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ การที่เรียกผู้ทำบิดอะห์ว่าพวกอารมณ์ใฝ่ต่ำ ก็เพราะว่าพวกเขานั้นตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยไม่เอาหลักฐานจากบทบัญญัติซึ่งเป็นหลักที่ต้องยึดและอ้างอิงจนกระทั่งปรากฏ(เป็นกฎเกณฑ์)ขึ้นมา และเอาอารมณ์อยู่เหนือหลักการ และเชื่อมั่นในความคิดเห็นของพวกตน แล้วจึงค่อยเอาหลักฐานมาพิจารณาหลังจากนั้น

 
         ส่วนมากของพวกเขา คือ ผู้ที่ใช้ปัญญากำหนดว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนไม่ดี ผู้ที่เอนเอียงสู่หลักปรัชญา และอื่นจากพวกเขา และรวมไปถึงส่วนใหญ่ก็กลัวผู้มีอำนาจเพื่อจะได้รับผลประโยชน์จาก  หรือแสวงหาตำแหน่ง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเอนไปสู่ผู้คนด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำ และตีความให้แก่ผู้คนตามที่พวกเขาประสงค์ อุลามะห์พูดและถ่ายทอดตามแต่ที่พวกพ้องผู้นำจะสั่งการ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงเป็นกลุ่มแรกที่ต่อต้านฮะดิษที่สายรายงานแข็งแรงด้วยกับสติปัญญาของพวกเขา และมีทรรศนคติที่ไม่ดีต่อสิ่งที่ถูกต้องที่มาจากท่านนบี


        พวกเขาคิดว่าความคิดของพวกเขานั้นดีด้วยกับการออกความเห็น(ทรรศนะ)ที่เสื่อมเสีย จนกระทั่งการปฏิเสธส่วนมากจากเรื่องราวของโลกอาคิเราะห์และสภาพต่างๆ จากสะพานสิรอฏ ตราชั่ง การต้อนผู้คนไปรวมตัวกัน ความสุขในโลกหน้า การลงโทษทางร่างกาย และปฏิเสธการมองเห็นอัลลอฮ์ หรืออื่นๆ พวกเขาเอาสติปัญญาให้กลายเป็นผู้ตราบทบัญญัติ ไม่ว่าจะมีตัวบทอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม ทว่าหากบทบัญญัติมีอยู่แล้ว บทบัญญัติคือผู้ที่จะเปิดโปงกฎเกณฑ์ที่สติปัญญากำหนดไปสู่ความน่ารังเกียจทั้งหลาย


ประการที่สาม ปฏิบัติตามบรรพบุรุษ แบบตาบอด

 

        จากสาเหตุของการขัดแย้งก็คือ การมุ่งมั่นที่จะตามผลประโยชน์ ถึงแม้จะเสียหาย หรือขัดกับสัจจธรรม นั่นก็คือ การตามบรรพบุรุษ ตามครูบาอาจารย์ หรืออื่นจากนั้น คือการตามที่ถูกตำหนิ และพระองค์อัลลอฮ์ทรงตำหนิไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า

( إنا وجدنا آباءنا على أمة )      "แท้จริงเราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเราอยู่ในแนวทางนี้"

และพระองค์ตรัสอีกว่า

"เขา(ร่อซูล) กล่าวว่าหากว่าฉันได้นำมาให้พวกท่าน ซึ่งแนวทางที่ถูกต้องกว่าที่พวกท่านได้พบเห็นบรรพบุรุษของพวกท่านยึดถืออยู่เล่า ?

พวกเขากล่าวว่าแท้จริงเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมานั้น"

     ดำรัสของพระองค์หมายคือ : พวกเขาได้ยินเมื่อพวกท่านขอกระนั้นหรือ? หรือพวกเขาให้คุณแก่พวกท่านหรือให้โทษแก่พวกท่านกระนั้นหรือ? 

พวกเขากล่าวว่า “แต่เราได้พบบรรพบุรุษของเราปฏิบัติกันมาเช่นนั้น”

และสอดคล้องกับฮะดิษข้างต้น ที่ท่านนบี  กล่าวว่า


( اتخذ الناس رؤساء جهالاً )     “ผู้คนได้ยึดเอาผู้นำที่โง่เขลา”


ท่านนบี  ได้ชี้ให้เห็นถึงการตามผู้นำว่าจะตามอย่างไร?

         ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นพ้องกันของบรรดามุสลิมีนและรวมพวกเขาไว้บนสิ่งอื่นนอกจากการให้เอกภาพและหลักยึดมั่นที่ถูกต้อง ในอิสลามนั้นมีภาพลักษณ์ของการรวมตัวและเป็นการเห็นพ้องที่ไม่ถูกพบในศาสนาอื่น เช่น กิบละห์เดียวกัน กุรอาน พิธีกรรมฮัจญ์ และอื่นๆ ดังนั้นเราหวังว่า การที่บรรดามุสลิมจะรวมตัวกันให้เป็นเอกภาพได้นั้นขึ้นอยู่กับการมีความเชื่อเดียวกัน และแนวทางเดียวกันในความเข้าใจกุรอานและซุนนะห์ และจากความขัดแย้งที่เป็นไปได้(เรื่องปลีกย่อย)ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มันก็เป็นการงานที่ง่ายดายเหลือเกิน

 

ท่านเช็คซอและห์ บิน เฟาซาน อัลเฟาซาน (ขออัลลอฮ์ทรงปกป้องท่าน) ถูกถามว่า:


         ประเด็นอะไรบ้างที่อนุญาตให้มีการขัดแย้ง ? และประเด็นใดบ้างที่ต้องหยุดการขัดแย้ง ? และอะไรคือหน้าที่ของบรรดามุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา ?

ท่านตอบว่า  การขัดแย้งนั้นมีสองประเภท

     ♦ ประเภทแรก : การขัดแย้งในประเด็นหลักการยึดมั่น ประเด็นนี้ไม่อนุญาตให้ขัดแย้งกัน และเป็นหน้าที่ของบรรดามุสลิมทั้งหลายที่จะต้องยึดมั่นตามสิ่งที่กุรอานและซุนนะห์ได้บ่งบอกเอาไว้ และไม่ก้าวล่วงเข้าไปในสิ่งดังกล่าวด้วยกับสติปัญญาและการวินิจฉัยของพวกเขา เพราะหลักการยึดมั่นนั้นต้องหยุดอยู่บนตัวบท(กุรอานและซุนนะห์) และไม่เปิดโอกาสให้วินิจฉัยและขัดแย้งในมัน

     ♦ ประเภทที่สอง : การขัดแย้งในประเด็นฟิกฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม)ที่ถูกวินิจฉัยมาจากตัวบท และนี่คือสิ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะแท้จริงแล้วการรับรู้ของมนุษย์นั้นมีความแตกต่าง ทว่าจำเป็นต้องยึดเอาสิ่งที่มีน้ำหนักด้วยกับหลักฐานจากทรรศนะต่างๆของผู้รู้ นี่คือหนทางที่จะออกห่างจากการขัดแย้ง


        จำเป็นที่มุสลิมนั้นจะต้องให้ความสำคัญจากกิจการศาสนา และรักษาการปฏิบัติสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงใช้ ละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้าม และประดับประดาด้วยกับมารยาทที่งดงามต่อพี่น้อง และซื่อสัตย์ในการปฏิบัติ รักษาความรับผิดชอบ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่น  การอบรมบ่มเพาะต่อการยึดมั่นในศาสนาและมารยาทที่ดีงามนั้นเป็นความจำเป็น และออกห่างจากมารยาทที่ไม่ดีและการคบเพื่อนที่ไม่ดี และให้ความสำคัญต่อสิ่งที่จะให้ประโยชน์ต่อศาสนาและดุนยา และการที่พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญให้อิสลามและบรรดามุสลิม ดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นจำเป็นทั้งสิ้น



 


والله أعلم