ยิว ใน อัลกุรอาน..
  จำนวนคนเข้าชม  40518

ยิวในอัลกุรอาน

          กล่าวได้ว่า อัลกุรอานที่ไม่ปรากฏความเท็จใดๆ ทั้งเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง เป็นตำราเล่มเดียวที่ได้เปิดโปงพฤติกรรมโฉดของยิวได้อย่างละเอียดและถูกต้องที่สุด นับเป็นเหตุผลลึกๆ ประการหนึ่งในอิสลามที่บัญญัติให้มุสลิมผู้บรรลุศาสนภาวะทุกคน ให้ทวนอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ ซึ่งเป็นปฐมซูเราะฮฺในอัลกุรอานอย่างน้อยวันละ 17 ครั้งตามจำนวนร็อกอัตละหมาดภาคบังคับ โดยในตอนท้ายของซูเราะฮฺนี้ อัลกุรอานได้พูดถึงกลุ่มชนที่อัลลอฮ์ ทรงกริ้วที่มุสลิมทุกคนจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษและอย่านำเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า กลุ่มชนดังกล่าวก็คือยิวนั่นเอง นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่อัลลอฮ์ ทรงโกรธกริ้วพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มปัญญาชน มีความรอบรู้ เปี่ยมด้วยวิชาการ แต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามความรู้ที่ได้มาเลย เป็นซาตานในคราบบัณฑิต จิตทรามในคราบนักบุญตั้งแต่ยุคแรกจวบจนปัจจุบัน


         ชาวยิวได้บิดเบือนศาสนาคริสเตียนนับตั้งแต่ยุคแรกๆ ของคริสตร์ศตวรรษด้วยการดัดแปลงตัดต่อเพิ่มเติมศาสนาคริสเตียนจนไม่เหลือเนื้อความเดิม และพวกเขาได้ใช้ความพยายามในการบิดเบือนศาสนาอิสลามในยุคแรกของฮิจเราะฮฺศักราชเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากอัลลอฮ์ ได้ประกันที่จะพิทักษ์รักษาศาสนานี้จนกระทั่งวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก) พวกเขาจึงไม่สามารถดัดแปลงศาสนาอิสลามตามแผนการที่ได้วางไว้ ถึงแม้จะมีกลุ่มมุสลิมในบางยุคบางสมัย หลงผิดติดอยู่ในกับดักคำสอนอันแปลกปลอมที่อุตริโดยยิวอยู่บ้าง แต่ก็มีนักวิชาการมุสลิมผู้บริสุทธิ์ลุกขึ้นมาตอบโต้และทำหน้าที่ชำระขยะคำสอนของผู้อุตริ  แยกกระพี้ออกจากแก่นแกนอยู่ตลอดเวลา


          ผู้ใดก็ตามที่ศึกษาเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าการปฏิวัติ การฆาตรกรรมอันลึกลับสลับซับซ้อนกระฉ่อนโลก หรือแม้กระทั่งสงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีเงาทมึนของยิวเข้าไปเกี่ยวข้องทุกครั้ง ไม่ว่าในฐานะผู้ปฏิบัติ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือผู้ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ที่แท้จริง


          สำหรับยิวแล้ว พวกเขาถือมั่นว่า ชาวยิวคือกลุ่มชนที่อัลลอฮ์ ได้คัดสรรแล้ว อัลลอฮ์ ได้สร้างพวกเขาจากธาตุดินชนิดพิเศษที่แปลกจากธาตุดินอันเป็นส่วนประกอบของมนุษย์ทั่วไป อัลลอฮ์ ได้สร้างพวกเขาในรูปแบบของมนุษย์ในลักษณะเฉพาะ ในคัมภีร์โตราห์ที่ถูกบิดเบือนระบุว่า ชนที่ไม่ใช่ยิวเกิดจากน้ำอสุจิของลา พวกเขามีฐานะเท่าเทียมกับสัตว์ที่มีหน้าที่คอยให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ยิวเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้การบริการนี้สะดวกขึ้น อัลลอฮ์ จึงสร้างกลุ่มชนที่ไม่ใช่ยิวเป็นรูปมนุษย์แทน บ้านและที่อยู่อาศัยของชนที่ไม่ใช่ยิวเปรียบเสมือนคอกสัตว์เท่านั้น จึงไม่แปลกสำหรับพวกเขาที่จะยึดครองและทำลายทรัพย์สินของคนอื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม พวกเขาจึงสามารถย่ำยี บุกรุก รุกรานราวีใครก็ได้ตามอำเภอใจ


        เนื่องจากนบีดาวูดและนบีสุลัยมานเคยเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล ในฐานะที่เป็นวงศ์วานของนบีทั้งสองท่าน ยิวจึงมีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องสืบสานอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษนี้ไว้ ถึงแม้จะต้องกดขี่ข่มเหงสร้างความเดือดร้อนแก่มนุษยชาติในทุกหย่อมหญ้าก็ตาม พวกเขาได้แอบอ้างการกระทำของนบีมูซาครั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มซึ่งได้เข้าไปช่วยเหลือชาวอิสรออีล ซึ่งกำลังต่อสู้กับชาวอิยิปต์คนหนึ่ง นบีมูซาได้ฆ่าชาวอิยิปต์คนนี้ พวกเขาจึงบิดเบือนเหตุการณ์นี้เพื่อเป็นใบเบิกทางสร้างความชอบธรรมที่จะเข่นฆ่าใครก็ได้ที่เป็นศัตรูของยิว ทั้งๆ ที่นบีมูซาไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าชาวอิยิปต์คนนั้นเลย เพียงแค่ต้องการให้ความช่วยเหลือแก่พรรคพวกเดียวกัน จึงไปชกต่อยเข้าข้างชาวอิสรออีล ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ชาวอิยิปต์คนนั้นเสียชีวิตไป นบี  มูซาก็สำนึกผิดและเสียใจกับการกระทำนี้ถึงกับกล่าวว่า นี่คือเป็นการกระทำของมารร้าย แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้ง นบีมูซาจึงขอลุแก่โทษจากการกระทำตามอารมณ์ชั่ววูบนี้ และอัลลอฮ์ ก็ทรงอภัย เกี่ยวกับเรื่องนี้อัลลอฮ์ ได้กล่าวในอัลกุรอานว่า 

 
ความว่า


  “และเมื่อเขา(มูซา) บรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้วเราได้ให้ความเข้าใจและความรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี (14)

และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อนเขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขาและอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด (15)


เขาจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย  แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (16)


เขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป” (17)  (อัลกอศ็อศ 28 : 14-17)


          ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อครั้นที่มูซายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี  และนบีมูซาก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมตั้งเจตนารมณ์ว่าจะไม่สนับสนุนผู้กระทำผิดเยี่ยงตนเองอีกแล้ว คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับชาวยิว แต่ชาวยิวก็ดัดแปลงคำสอน และหยิบยกเหตุการณ์นี้เพื่อสร้างความชอบธรรมและเป็นต้นแบบสำหรับการฆ่าคนอื่นได้อย่างไม่ละอายฟ้าดิน


          บนพื้นฐานแนวคิดนี้ ยิวจึงสามารถขโมยทรัพย์สินผู้อื่น หลอกลวง โกหกมดเท็จ กินดอกเบี้ย ผิดประเวณี ปฏิบัติตนต่อมนุษย์ด้วยวิธีการที่ฝ่าฝืนคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม หรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ก็ตาม จึงไม่เห็นแปลกที่เราพบว่ายิวได้ปฏิบัติต่อชาวโลกที่ทารุณโหดเหี้ยมเช่นใด และสร้างความเจ็บแค้น เอือมระอาให้กับชาวโลกตามปรากฏในประวัติศาสตร์อันมากมายแค่ไหน เมื่อมีการนึกถึงความสุดยอดของความชั่วร้ายของคนๆ หนึ่งซึ่งประกอบด้วยความอิจฉาริษยา การหลอกลวง ชอบยุแหย่ผู้คนเข้าทำนองยุให้รำตำให้รั่ว เอารัดเอาเปรียบ ตระหนี่ขี้เหนียว เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นคนร้อยลิ้นกะลาวน  ลิ้นกระด้างคางแข็ง ระยำตำบอน เกือบทุกสังคมในโลกนี้จะต้องนึกถึงและชี้หน้าไปที่ชาวยิว พวกเขาจึงเป็นตำนานแห่งความชั่วร้ายที่ยังมีชีวิตที่สามารถพิสูจน์ได้ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และอัลลอฮ์ ได้เปิดโปงสันดานโฉดนี้ในอัลกุรอาน ให้ผู้ศรัทธาได้ทบทวนอ่านเพื่อจำไว้เป็นบทเรียนจนกระทั่งวันกิยามะฮ์

          ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากประเทศปอร์ตุเกสและสเปน ยิวถูกไล่ออกจากประเทศอังกฤษเมื่อปี คศ.1290 และจากประเทศฝรั่งเศสสองครั้งคือครั้งแรกในปีคศ. 1306 และครั้งที่สองในปีคศ.1394  พวกเขาถูกเนรเทศจากเบลเยี่ยมเมื่อคศ.1370 จากเชคโกสโลวาเกียในคศ.1380  ฮอลแลนด์ขับไล่พวกยิวออกจากประเทศเมื่อคศ.1444  อิตาลีขับไล่ออกมาเมื่อคศ.1540 พวกเขาถูกขับจากเยอรมันในคศ.  1551 ส่วนรัสเซียเนรเทศออกมาเมื่อปีคศ.1510  การถูกเนรเทศกลายเป็นธรรมเนียมชีวิตของชาวยิวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของยิวตอนต้นๆ ก็จะพบว่าพวกเขาได้พบชะตาชีวิตอย่างเดียวกันมาตลอด มันเป็นโทษทัณฑ์และคำสาปแช่งของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียกตัวเองว่าอย่างหลอกตัวเองว่า “ประชาชาติที่พระเจ้าทรงเลือก” ก็ตามที


          การที่พวกเขาถูกเนรเทศและได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากประชาคมโลกนี้ เป็นเพราะพวกเขาปฏิเสธคำสอนของอัลลอฮ์ สร้างศัตรูกับมวลมนุษย์และเข่นฆ่าบรรดาศาสดา มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ ซึ่งได้กล่าวในอัลกุรอานว่า ความว่า 

 
"ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮฺ (พวกเขาจะพ้นจากความต่ำช้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขายึดมั่นคำสอนของอัลลอฮ์ เท่านั้น)และสายเชือกจากมนุษย์(การมีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกับผู้ศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ตั้งตนเป็นศัตรูและบ่อนทำลาย) และพวกเขาจะนำความกริ้วโกรธจาก อัลลอฮฺกลับไป และความขัดสนก็จะถูกฟาดลงบนพวกเขา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺ และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาดื้อดึง และเคยทำการละเมิด" (อาละอิมรอน 3 : 112)


          เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเข้าถึงธาตุแท้ถึงสันดานยิว ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษา   อัลกุรอานในอายะฮฺที่จะกล่าวนี้


ความว่า 

           และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง  และแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง (4)

              ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือนและมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว(5)

             และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย (6)

             หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเองดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึง เพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้า และเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น(7)

              หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน)อีกเราก็โต้กลับ และเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา (8) (อัลอิสเราะอฺ 17 : 4-8)


          อัลกุรอานจำนวน 5 อายะฮฺดังกล่าวข้างต้น ได้อธิบายให้เราทราบว่า วงศ์วานของอิสรออีล ซึ่งได้แก่ยิวผู้เป็นลูกหลานของนบียะกู๊บเป็นผู้ก่อความเสียหายบนแผ่นดิน ทุกครั้งที่พวกเขามีอำนาจ ก็จะเหิมเกริม ยโสโอหัง และสร้างความวุ่นวายบนผืนแผ่นดิน หลังจากนั้น อัลลอฮ์  ก็จะส่งบ่าวของพระองค์ที่เข้มแข็งเข้าไปปราบปรามพวกเขา จนพวกเขาต้องกระจัดกระจายบนพื้นแผ่นดิน ดังที่      อัลกุรอานกล่าวว่า

 
ความว่า   "
และเราได้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ ในแผ่นดิน (คือให้กระจัดกระจายไปอยู่ทุกประเทศในแผ่นดิน)" (อัลอะร็อฟ7 : 168)


          หลังจากนั้น พวกเขาก็กระจัดกระจายทั่วทุกมุมโลก แต่ด้วยความฉลาดแกมโกงของพวกเขา จึงสามารถกลับมีอำนาจขึ้นมาใหม่พร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง และเหล่าบริวารรี้พลอันมากมาย พวกเขาก็จะหวนกลับกระทำความเดือดร้อนแก่ชาวโลกอีกครั้ง แต่อัลลอฮ์ ก็สัญญามั่นว่า  หากพวกเขากลับมาก่อกวนอีก อัลลอฮ์ ก็โต้กลับด้วยการลงโทษทัณฑ์พวกเขาจากพระองค์เช่นเดียวกัน    อัลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ว่า

         
ความว่า
"และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้แจ้งให้ทราบว่า แน่นอนพระองค์จะส่งมาให้มีอำนาจเหนือพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งผู้ที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเขา ด้วยการทรมานอันร้ายแรง แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น ทรงเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา" (อัลอะร็อฟ 7 : 167)


นอกจากนี้อัลกุรอานได้เปิดโปงนิสัยประจำตัวของยิว ส่วนหนึ่งได้แก่


1. ชอบละเมิดสัญญา              อัลลอฮ์ กล่าวว่า

  ความว่า "และคราใดที่พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาใด ๆ ไว้ กลุ่มหนึ่งในพวกเขาก็เหวี่ยงสัญญานั้นทิ้งเสียกระนั้นหรือ ? หามิได้ส่วนมากของพวกเขาไม่ศรัทธาต่างหาก"   ( อัลบะเกาะเราะฮ 2 : 100)

  
2. ไม่มีความซื่อสัตย์ คดโกง โกหกตอแหล   อัลลอฮ์ กล่าวว่า

ความว่า  "และเจ้าก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น" (อัลมาอิดะฮ 5 :13)


3. บิดเบือนคัมภีร์         อัลลอฮ์  กล่าวว่า

    ความว่า" จากบางคนในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้ออกจากที่ของมัน "(อันนิสาอฺ 4: 46)    

 
4. ฆ่าบรรดาศาสดา      อัลลอฮ์   กล่าวว่า
 
    ความว่า
"แท้จริงนั้นเราได้เอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสราอีล และเราได้ส่งบรรดารอซูลมายังพวกเขา ทุกครั้งที่  รอซูลคนใดนำสิ่งที่จิตใจของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขาแล้ว กลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็ปฏิเสธ และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย"  ( อัลมาอิดะฮ 5: 70)

 
5. ฆ่าบรรดาผู้เชิญชวนสู่อัลลอฮ   อัลลอฮ์  ได้กล่าวว่า
             
      ความว่า 
"และพวกเขาฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม จากหมู่ประชาชนนั้น"  (อาลิอิมรอน 3 : 21) 

  
6. แสดงมารยาททรามต่ออัลลอฮ์         อัลลอฮ์ กล่าวว่า  
            
ความว่า
"แน่นอนยิ่ง อัลลอฮทรงได้ยินคำพูดของบรรดา(พวกยิว)ผู้ที่  กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ ยากจน และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ "(อาลิอิมรอน3:181)

 
7. จิตใจแข็งกระด้าง       อัลลอฮ์ กล่าวว่า   
                            
  ความว่า
"แล้วหลังจากนั้น หัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง มันประดุจหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า " (อัลบะเกาะเราะฮ 2 :74)

  
8. เคียดแค้นและเป็นศัตรูมุสลิมอย่างรุนแรง      อัลลอฮ์ กล่าวว่า

ความว่า "แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์" (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 82 )


         นี่คือส่วนหนึ่งของคุณสมบัติประจำตัวชาวยิวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงแม้วันเวลาผ่านไป แต่ประวัติศาสตร์มักหวนกลับเข้าสู่วงจรเดิมอยู่เสมอ มาตรการ กลยุทธและผู้แสดงอาจแตกต่างกันบ้างตามยุคสมัย แต่เค้าโครงเรื่องก็มาจากต้นฉบับอันเดียวกัน มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์อันเดียวกันซึ่งได้รับการตกผลึกมาจากพฤติกรรมทางสังคม ความเชื่อพื้นฐานและทัศนคติอันเดียวกัน มีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และท้ายสุดแล้วก็จะได้รับการโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ ในลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือวิถีแห่งอัลลอฮ์ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันกิยามะฮ์    (วันสิ้นโลก)  
             

ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน"

ผู้เขียน : มัสลัน มาหะมะ

الكاتب : مرسلان محمد

สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา