อีดดิ้ลฟิตรีย์ อัตตักวา
  จำนวนคนเข้าชม  5015


อีดดิ้ลฟิตรีย์ อัตตักวา

 

คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

           ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ขอชุกูร ขอบคุณอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ทรงให้เราได้มารวมตัวกัน ที่นี้ ในวันนี้ อันเป็นวันที่ 1 เดือนเชาวาล เป็นวันอีดิ้ลฟิฏรฺ เป็นวันเฉลิมฉลองหลังจากที่เราได้เสร็จสิ้นภารกิจต่างๆจากการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนในปีนี้แล้ว

 

          เราเฉลิมฉลอง ไม่ใช่เพราะเราดีใจที่เดือนเราะมะฎอนผ่านพ้นเราไป แต่เราเฉลิมฉลองเพราะเรารู้สึกดีใจที่ได้ปฏิบัติศาสนกิจ ปฏิบัติอิบาดะฮฺสำคัญยิ่งใหญ่ ก็คือได้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ซึ่งเป็นรุกุ่นสำคัญประการที่สี่ของหลักปฏิบัติอิสลาม และยังได้มีโอกาสทำอิบาดะฮฺต่างๆอีกมากมาย อันเป็นอิบาดะฮฺที่จะช่วยลบล้างบาปต่างๆให้แก่เรา และยังเป็นการเพิ่มขั้นในสวรรค์ให้แก่เราอีกด้วย จึงขอให้เราได้ชุกูร ขอบคุณอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในเนี๊ยะอฺมะฮฺ ความเมตตานี้ ที่ให้โอกาสเราได้ถือศีลอด และทำอิบาดะฮฺต่างๆอย่างมากมาย อัลฮัมดุลิลลาฮฺ

 

          ต่อจากนี้เป็นต้นไป ขอให้เราขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอยู่เสมอๆ ขอให้พระองค์ทรงรับการทำอิบาดะฮฺทั้งหมดของเรา และขอได้ทรงอภัยโทษในบาปทั้งหมดของเรา และขอให้การถือศีลอดที่ผ่านมาของเรา นำเราไปสู่การเป็นผู้ที่มีอัตตักวา ซึ่งเป็นเป้าหมายของการถือศีลอดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงวางบทบัญญัติไว้

 

     ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 183 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ كُتِبَ عَلَيۡكُمُ ٱلصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَتَّقُونَ

 

     ”ผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดเป็นฟัรฎู(คือเป็นข้อบังคับ)แก่พวกเจ้า ดั่งเช่นที่ได้ถูกกำหนดแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้  تَتَّقُونَ  จะได้ยำเกรง

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

           ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ขอให้เราได้สำรวจตัวเราอยู่เสมอๆว่า การที่เราะมะฎอนจากเราไปปีแล้วปีเล่านั้น เราได้บรรลุถึง تَتَّقُونَ บรรลุถึงเป้าหมายที่เรียกว่า อัตตักวาหรือที่เรามักเรียกในภาษาไทยว่าความยำเกรงหรือยัง

 

          มาตรฐานของการวัดอัตตักวาอยู่ที่ ..เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ถึงคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วเราก็มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามโดยทันที โดยเต็มใจ โดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะเดียวกัน เมื่อเราทราบถึงคำสั่งห้ามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราก็จะรีบออกห่าง ละเว้น ไม่ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้าม ..นี่คือ สิ่งที่ใช้วัดอัตตักวาของเรา 

 

          หากเราปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้มาก เราก็จะมีอัตตักวามาก แต่หากเรายังมีการฝ่าฝืนต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ระดับของอัตตักวาก็จะลดหลั่นไป ...ใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย ซึ่งอัตตักวานี้แหละที่จะทำให้เราได้เป็นอัศศอลิฮีน คือเป็นคนหนึ่งในบรรดาคนศอลิหฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งผลของการเป็นคนศอลิหฺก็คือ ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในทุกๆเรื่อง และยังจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราจากการลงโทษของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ

 

     ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะหฺรอฟ ส่วนท้ายของอายะฮฺที่ 196 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

 وَهُوَ يَتَوَلَّى الصَّالِحِينَ

 

และพระองค์ คือผู้ทรงปกป้องคุ้มครองดูแล الصَّالِحِينَ บรรดาคนศอลิหฺ

 

          อัตตักวาจะมาควบคุมให้เราจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี ทำให้การดำเนินชีวิตของเราได้รับความดีงามทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ แต่ถ้าหากเราไม่มีอัตตักวามาคอยควบคุมตัวเรา ชีวิตในบั้นปลายทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งที่เลวร้ายแสนสาหัส

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรามาดูตัวอย่างจากเรื่องเล่าที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าไว้ในอัลกุรอาน เพื่อเป็นข้อคิด ข้อสะกิดใจสำหรับคนที่ปรารถนาจะกลับไปพบอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในสภาพที่นอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง เรามาดูกันว่าบุคคลที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเอ่ยถึงนั้น เขาจัดการกับชีวิตของเขาอย่างไร ? มีอัตตักวาไหม ? และผลสุดท้ายบั้นปลายของเขาเป็นอย่างไร ?

 

     เรื่องที่หนึ่ง เรื่องของคนที่ชื่อ กอรูน ในซูเราะฮฺหนึ่งที่เล่าถึงเรื่องของกอรูน ก็คือซูเราะฮฺอัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 76 – 82 เรื่องโดยสรุปก็คือ 

 

         กอรูนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม คือเป็นญาติกัน เป็นคนที่มีความรู้มีความเข้าใจในคัมภีร์เตารอตเป็นอย่างดี เป็นคนที่เรียนรู้บทบัญญัติศาสนามาจากท่านนบีมูซา แล้วก็ทำอิบาดะฮฺอย่างสม่ำเสมอ รูปแบบของการทำอิบาดะฮฺของกอรูนก็เหมือนกับที่ท่านนบีมูซาสอนทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน ก็คือ เรื่องของนียะฮฺ-การเนียต 

 

         เพราะเนียตของท่านนบีมูซาและคนบรรดาคนศอลิหฺ ก็คือเนียตเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียวเท่านั้น แต่เนียตของกอรูน ก็คือ ทำอิบาดะฮฺเพื่อให้ชีวิตของเขามีความร่ำรวย มีความมั่งคั่ง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ประทานความร่ำรวยมั่งคั่งให้แก่กอรูนเป็นอย่างมาก เขามีคลังสมบัติอย่างมากมาย ขนาดว่า กุญแจที่ใช้ปิดคลังสมบัติ เฉพาะกุญแจอย่างเดียว ยังต้องใช้ผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่คนเดียว แต่ใช้ผู้ชายหลายๆคนที่ต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อที่จะมาแบกมาหามกุญแจเหล่านั้น 

 

          นี่เฉพาะกุญแจอย่างเดียว แล้วเราลองคิดดูสิว่า ถ้าเป็นทรัพย์สมบัติมันจะต้องมากมายขนาดไหน ...นี่คือความโปรดปรานที่กอรูนได้รับจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่แทนที่กอรูนจะขอบคุณอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะมีอัตตักวาต่อพระองค์ กอรูนกลับตอบแทนความโปรดปรานที่ได้รับ โดยการที่เขาหยิ่งผยองพองขน ลำพองตนว่าเป็นคนร่ำรวย อวดมั่งอวดมี อวดทรัพย์สมบัติ อวดเบ่งอวดโต แล้วก็ข่มเหงผู้คนไปทั่ว ไม่ว่าใครจะเตือนอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง

 

          ท่านนบีมูซาเตือนให้มีอัตตักวา ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างไร กอรูนก็ไม่ฟัง เขาบอกว่า ที่เขาร่ำรวย เขามั่งคั่งขึ้นมานี่ เพราะความรู้ความสามารถของเขา ....ท้ายที่สุด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ทรงส่งการลงโทษลงมา โดยการให้แผ่นดินสูบกอรูนและพวกพ้องของกอรูนที่มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ตลอดจนทรัพย์สมบัติพัสถานต่างๆของกอรูนจนหมดสิ้น ..นี่ก็คือจุดจบของคนที่มีอัตตักวาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาไม่เต็มร้อย

 

     ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องราวของกอรูนเตือนเราอย่างน้อยๆ 2 เรื่อง

 

     1. ถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้และทำอิบาดะฮฺอย่างมากมายสม่ำเสมอ แต่ถ้าเราไม่มีเนียตเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียว และไม่มีอัตตักวามาคอยกำกับตัวเรา มันก็จะนำตัวเราไปสู่ชีวิตที่พินาศ ...เนียตอย่างไร ได้อย่างนั้น

 

     2. ความร่ำรวยที่ไม่มีอัตตักวาคอยกำกับ มันก็จะนำตัวเราไปสู่ความพินาศได้เช่นกัน ....ความร่ำรวยจึงไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าจะได้รับชีวิตที่ดีงาม และไม่ได้เป็นหนทางนำไปสู่สวรรค์ ดังนั้น คนรวยคนจนมีสิทธิ์ได้รับชีวิตที่ดีงาม และมีสิทธิ์เข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้เท่าๆกัน ..อยู่ที่ว่า ใครมีอัตตักวามากกว่ากัน

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องเล่าจากอัลกุรอานเรื่องที่สองที่จะนำมาเสนอก็คือ เรื่องของประชาชาติของท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม ในซูเราะฮฺหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้ก็คือ ซูเราะฮฺอัลอันกะบูต อายะฮฺที่ 26 – 35  เรื่องโดยสรุปก็คือ 

 

          ท่านนบีลูฏเป็นหลานของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิมุสสลาม เป็นผู้ที่ได้เรียนรู้บทบัญญัติศาสนามาจากท่านนบีอิบรอฮีม และได้นำคำตักเตือนไปยังชาวเมืองสะดูมที่เป็นกลุ่มชนของท่าน ที่พวกเขาต่างนำ الْفَاحِشَةَ อัลฟาฮิชะฮฺ หรือสิ่งเลวร้ายมาสู่บนหน้าโลกดุนยานี้ โดยที่ไม่เคยมีกลุ่มชนใดเคยทำมันมาก่อนเลย

 

          อัลฟาฮิชะฮฺนั้นก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ถ้าเป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน ภาษาอาหรับเรียกว่า ลิวาฏ ถ้าเป็นผู้หญิงกับผู้หญิงเรียกว่า ซิฮาก 

 

        อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าว่า การลิวาฏของกลุ่มชนของท่านนบีลูฏนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครทำมันมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว ...ท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลามได้มาเรียกร้องตักเตือนกลุ่มชนของท่านให้หยุดการกระทำอันชั่วช้านี้อย่างเด็ดขาด แต่ไม่สำเร็จ พวกเขายังคงดื้อดึง ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่กลัวการลงโทษใดๆทั้งสิ้น 

 

          ดังนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูซะตะอาลาจึงได้ทรงส่งการลงโทษมายังกลุ่มชนของท่านนบีลูฏด้วยการลงโทษสี่ประการ โดยไม่เคยทรงลงโทษผู้ใดหรือกลุ่มชนใดด้วยการลงโทษพร้อมๆกันเช่นนี้มาก่อนเลย นั่นคือ

♦ ทรงทำให้ดวงตาของพวกเขาบอด (อัลเกาะมัร อายะฮฺ 37 ) 

♦ ทรงพลิกแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่จากบนเป็นล่าง 

♦ ทรงให้ฝนที่เป็นหินไฟจากนรกเทใส่ลงมาบนพวกเขา ( อัลฮิจร์ 74 ฮูด 82 เกาะมัร 34 อัซซาริยาต 33 ) และ

♦ ทรงให้ฟ้าผ่าพวกเขา (อัลฮิจร์ 73 )

 

          แสดงให้เห็นว่า เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และนำไปสู่การลงโทษอันรุนแรงจาก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ...ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องระมัดระวังตัวเรา ลูกหลานของเรา ครอบครัวของเรา ตลอดจนคนในสังคมของเราให้ออกห่างจากเรื่องนี้

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย การที่ผมนำเรื่องราวของกลุ่มชนของท่านนบีลูฏมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะ ในปัจจุบันนี้ เราจะพบว่า เรื่องของการรักร่วมเพศถูกกระทำอย่างเปิดเผยและแพร่หลาย และเริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคมมากขึ้น แล้วมันก็เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาในสังคมมุสลิมมากขึ้น มันจึงเป็นเรื่องที่อันตราย เพราะมุสลิมต้องไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ต้องไม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องของการรักร่วมเพศ เพราะมันจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดต่อบทบัญญัติศาสนา เป็นเรื่องที่ต้องมีการตักเตือนกัน หากเราปล่อยปละละเลย ไม่มีการห้ามปราม ไม่มีการตักเตือนกัน สักวันหนึ่งการลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะมาถึงเรา

 

          แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะหยุดเรื่องเหล่านี้ได้ในสังคม อย่างน้อยๆ ใจของเราจะต้องไม่ยอมรับในเรื่องที่ชั่วช้านี้ ซึ่งอัตตักวาของเราจะมาคอยควบคุมเรา ไม่ให้เห็นดีเห็นงามไปกับเรื่องที่ผิดต่อบทบัญญัติศาสนา เพราะถ้าเราไปเห็นดีเห็นงาม มองว่าเป็นเรื่องของความเท่าเทียมกัน มองว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน หรืออะไรๆในทำนองนี้ตามที่เขาให้เหตุผลกัน นั่นเท่ากับเรากำลังเย้ยหยันบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะแสดงว่าบทบัญญัติของพระองค์ไม่ดี ไม่มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งนี่ถือเป็นการเย้ยหยัน ดูถูกดูแคลนบทบัญญัติของพระองค์ ผลที่ตามมาคืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงส่งการลงโทษลงมา ดังเช่นที่กลุ่มชนของท่านนบีศอลิหฺ อะลัยฮิสสลามได้รับ

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในซูเราะฮฺอันนัมล์ อายะฮฺที่ 45 – 53 ได้เล่าเรื่องของชาวษะมูดซึ่งเป็นกลุ่มชนของท่านนบีศอลิหฺ อะลัยฮิสสลาม ซึ่งท่านก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวษะมูด ซึ่งพวกเขาเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โต มีความสามารถเจาะถ้ำมาทำบ้านได้ เช่นเดียวกับกลุ่มชนอ๊าด แสดงว่า พวกเขามีความแข็งแรงมาก เรื่องโดยสรุปก็คือ 

 

          ชาวษะมูดทำชิริก เคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามต้นไม้ กราบไหว้รูปปั้นรูปเจว็ด ท่านนบีศอลิหฺจึงได้รับคำสั่งให้มาเรียกร้องกลุ่มชนของท่านมาสู่เตาฮีด ก็คือให้หันกลับมาเคารพอิบาดะฮฺอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเป็นพระเจ้าองค์เดียว พวกเขาก็เลยแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งปฏิเสธท่านนบีศอลิหฺ อีกกลุ่มก็บอกกับกลุ่มที่ปฏิเสธว่า สิ่งที่ท่านนบีศอลิหฺนำมานั้นถูกต้องแล้ว ขอให้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม 

 

          แต่กลุ่มที่ปฏิเสธก็ต่อต้าน ทำการเย้ยหยัน ฝ่าฝืนต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านนบีศอลิหฺจึงได้เตือนว่า ถ้าหากยังฝ่าฝืนอยู่อย่างนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงจะส่งการลงโทษลงมายังพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ...อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเรียกพวกเขา กลุ่มที่เป็นผู้ปฏิเสธว่า พวกอวดเบ่งอวดโต ยโสโอหัง

 

          ในซูเราะฮฺอัลอะอ์รอฟ อายะฮฺที่ 75 พระองค์ทรงบอกว่าพวกเขานั้น اسْتَكْبَرُوا พวกเขาเย้ยหยันอย่างโอหังว่า สิ่งที่ท่านนบีศอลิหฺนำมานั้น ไม่ใช่คนแรกที่เอามาบอก ชนรุ่นก่อนๆเขาก็เคยบอกมาแล้ว พวกเขาบอกท่านนบีศอลิหฺว่า ถ้าแน่จริงละก็ ลงโทษเราเลย ..นี่คือการเย้ยหยัน ..พวกเขาบอกว่า พวกเขาแข็งแรง รูปร่างใหญ่โต เอาภูเขามาทำเป็นบ้านยังได้เลย ประมาณว่า ไม่กลัวหรอกการลงโทษน่ะ ...ท่านนบีศอลิหฺก็เลยบอกว่า ทำไมพวกท่านจึงเร่งด่วนขอการลงโทษ เร่งด่วนขอความชั่วก่อนความดี แทนที่ท่านจะขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ปรับปรุงแก้ไขตัวเอง พระองค์จะได้ทรงเมตตา ให้ได้รับชีวิตที่ดีงาม แต่พวกเขาก็ไม่สนใจคำตักเตือนของท่านนบีศอลิหฺ ยังคงฝ่าฝืนต่อไป..

 

          แล้วพวกเขาก็บอกให้ท่านนบีศอลิหฺพิสูจน์สิว่า เป็นเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจริง พวกเขาบอกว่า ถ้าท่านเป็นเราะซูลจริง ก็ทำให้อูฐตัวเมียออกมาจากก้อนหินตรงนี้สิ ท่านนบีศอลิหฺก็ขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วพระองค์ก็ทรงให้อูฐตัวเมียออกมา แล้วก็สามารถรีดนมจากอูฐตัวนี้เอามาดื่มกินกันได้ทั้งเมือง นี่คือ มัวอ์ญิซาตอย่างหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังฝ่าฝืน และก็ขัดคำสั่งของท่านนบีศอลิหฺ ที่ให้ดูแลอูฐตัวนี้ อย่าไปทำร้ายมัน แต่แล้ว พวกเขาก็ยังคงโอหัง ตัดขาข้างหนึ่งของมัน แล้วก็ทรมานมันจนมันตาย ...

 

     เพราะพวกเขาโอหัง เย้ยหยันต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระองค์จึงทรงส่งการลงโทษมายังพวกเขา โดยการให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ในซูเราะฮฺอัลอะอ์รอฟ อายะฮฺที่ 78 บอกว่า  فَأَخَذَتْهُمُ الرَّجْفَةُ  แล้วอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ทรงให้แผ่นดินไหวอย่างแรงเป็นการลงโทษพวกเขา

 

     ในซูเราะฮฺฮูด อายะฮฺที่ 67 บอกว่า وَأَخَذَ الَّذِينَ ظَلَمُوا الصَّيْحَةُ  แล้วอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ได้ทรงให้เสียงกัมปนาทอย่างรุนแรงลงมาทำลายพวกเขา

 

          ดังนั้น กลุ่มชนษะมูดโดนลงโทษด้วยการลงโทษสองอย่าง และแล้ว พวกเขาก็ فَأَصْبَحُوا فِي دِيَارِهِمْ جَاثِمِينَ พวกเขาก็นอนตายในสภาพนั่งคุดคู้อยู่ในบ้านของพวกเขาโดยไม่ทันรู้ตัวมาก่อน ไม่ใช่ตายในสภาพปกติ แต่ตายในสภาพนั่งคุดคู้ พวกเขาสูญสิ้นชีวิตประหนึ่งว่าไม่เคยมีพวกเขามาก่อนเลยในแผ่นดินนี้ คงเหลือไว้แต่ที่อยู่อาศัยของพวกเขา เพื่อให้เป็นข้อเตือนใจแก่ชนรุ่นหลัง

 

          นี่ก็คือผลของการที่พวกเขาไปเย้ยหยันบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยการตั้งใจฝ่าฝืน เพราะพวกเขาไม่มีอัตตักวาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายที่จะขอนำมาเสนอในที่นี้ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับท่านนบียูนุส อะลัยฮิสสลาม ซึ่งท่านได้ถูกส่งมาทำหน้าที่เช่นเดียวกับเราะซูลทุกๆท่าน เรื่องโดยสรุป ก็คือ 

 

          ท่านนบียูนุสได้เรียกร้องกลุ่มชนของท่านให้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และมอบเตาฮีดต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านนบียูนุสก็เลยเตือนว่า ถ้ายังปฏิเสธอยู่อย่างนี้ละก็ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะส่งทรงการลงโทษลงมาในไม่ช้านี้ พอเตือนแล้ว ท่านนบียูนุสก็หลบออกไปจากเมือง ด้วยความโกรธที่พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟัง 

 

          แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ก็ปรากฏว่า ยังไม่มีการลงโทษมาแต่อย่างใด ท่านนบียูนุสก็เลยไม่อยากกลับเข้าไปในเมือง เพราะเกรงจะถูกกล่าวหาว่า กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านนบียูนุสก็เลยไปลงเรือเดินทะเล แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ท่านนบียูนุสต้องเข้าไปอยู่ในท้องของปลาใหญ่ ไปอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในท้องปลาใหญ่ ซึ่งเป็นสภาพที่น่ากลัว อันเนื่องมาจากว่า ท่านทำในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลายังไม่ได้สั่ง ก็คือ ออกจากเมืองโดยที่พระองค์ยังไม่ได้สั่ง 

 

          ท่านนบียูนุสจึงได้ขออภัยโทษ เตาบะฮฺตัว และได้ยกเอาการที่ท่านมีเตาฮีดต่อพระองค์เป็นสื่อในการขอดุอาอ์ ..อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ทรงอภัยให้แก่ท่านนบียูนุส ปล่อยท่านออกมาจากท้องปลา และฟูกฟัมท่านจนท่านแข็งแรงดี จึงทรงส่งท่านกลับเข้าไปยังเมือง ผลปรากฏว่า กลุ่มชนของท่านต่างศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เชื่อฟังและยอมรับในคำตักเตือนของท่านนบียูนุสกันทั้งหมด เพราะพวกเขากลัวการลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตามที่ท่านนบียูนุสได้เตือนไว้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และทรงให้การลงโทษอันรุนแรงนั้น ได้แคล้วคลาดไปจากพวกเขา ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีการลงโทษตามที่ท่านนบียูนุสได้บอกไว้ แต่เพราะท่านนบียูนุสไม่ได้อยู่กับพวกเขา ท่านก็เลยไม่ทราบ ..สุดท้าย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ลงทรงให้กลุ่มชนของท่านนบียูนุสมีความสุข ได้รับชีวิตที่ดีงามจนกระทั่งถึงบั้นปลายของชีวิต นี่ก็คือผลของการที่พวกเขามีอัตตักวาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องเล่าที่เล่าอยู่ในอัลกุรอานที่นำมาเสนอในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงผลของการที่คนเรามีอีมาน มีความศรัทธา มีอัตตักวา มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งผลของมันจะแตกต่างกัน จึงเป็นข้อคิดข้อเตือนใจในการชีวิตประจำวันของเราว่า ถ้าหากเราอยากได้รับชีวิตที่ดีงาม ห่างไกลจากการถูกลงโทษทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ เราก็ต้องใช้ชีวิตโดยมีอัตตักวามาคอยควบคุมตัวเรา คือการที่เรายอมทำตามคำสั่งของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติศาสนา โดยต้องไม่ตั้งใจที่จะฝ่าฝืน แต่ถ้าหากเราฝ่าฝืนอันเนื่องมาจากความอ่อนแอในตัวของเรา หรือเกิดจากการพลาดพลั้งให้กับการล่อหลอกของชัยฏอน อย่างนี้ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องขออภัยโทษ ขอเตาบะฮฺตัว อย่างนี้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงอภัยโทษให้

 

     ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอัมฟาล อายะฮฺที่ 38 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

قُل لِّلَّذِينَ كَفَرُوا إِن يَنتَهُوا يُغْفَرْ لَهُم مَّا قَدْ سَلَفَ

 

     “(มุฮัมมัด)จงประกาศออกไปเถิดว่า ..ใครที่เคยปฏิเสธ ใครที่เคยฝ่าฝืน ถ้าหากเขายุติ(การฝ่าฝืน) อัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่เขาทั้งหมด....”

 

         เราอย่าตั้งใจฝ่าฝืน อะไรที่ยังทำไม่ได้ ก็ให้ถือเป็นความอ่อนแอของตัวเรา ขออภัยโทษไป พยายามปรับปรุงตัวเรา แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะฝ่าฝืน มองว่าบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเป็นเรื่องล้าสมัย หรือไม่ทันยุคทันสมัย อย่างนี้จะทำให้เราถูกลงโทษ

          ขอให้เราได้นำอัตตักวาที่เราได้รับจากการถือศีลอด มาคอยควบคุมการดำเนินชีวิตของเราในทุกๆวัน เพื่อที่เราจะได้รับ حَيَاةً طَيِّبَةً ชีวิตที่ดีงาม ในซูเราะฮฺอันนะหฺลฺ อายะฮฺที่ 97 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

مَنْ عَمِلَ صَالِحًا مِّن ذَكَرٍ أَوْ أُنثَىٰ وَهُوَ مُؤْمِنٌ فَلَنُحْيِيَنَّهُ حَيَاةً طَيِّبَةً ۖ

 

     “ใครก็ตามที่มี(อัตตักวา)โดยการปฏิบัติตามคำสั่ง ปฏิบัติอะมัลศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง และเขาเป็นผู้ศรัทธา(ต่ออัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) แน่นอน เราจะให้เขาได้รับชีวิตที่ดีงาม

 

          อุละมาอ์บอกว่า ชีวิตที่ดีงาม ไม่ได้หมายถึงการเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง ..ไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้มีอำนาจวาสนา มีบารมี มีชื่อเสียง ..ไม่ได้หมายถึงการได้มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต ..ไม่ได้หมายถึงว่า เขาจะต้องรอดพ้นจากสิ่งเลวร้าย หรือสิ่งที่นำความเดือดร้อนมาให้ ..ไม่ได้หมายถึง ความยากจนขัดสน ..ไม่ได้หมายถึง การได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ حَيَاةً طَيِّبَةً หมายถึง การที่หัวใจของเขามีความสงบนิ่ง น้อมรับต่อเกาะฎอ-เกาะฎัรของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หากเขาได้รับความสุขความสบายความยินดีพอใจ เขาก็ขอบคุณอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วยการมีอัตตักวาต่อพระองค์ ซึ่งดังนี้มันก็จะเป็นความดีสำหรับเขาเอง ..แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาประสบกับสิ่งเลวร้าย สิ่งที่เขาไม่ชอบ เขาก็น้อมรับมันและมีความอดทนต่อสิ่งที่เขาได้รับ เพราะเขามีอัตตักวาต่อพระองค์ ซึ่งดังนี้มันก็เป็นความดีสำหรับเขาเองเช่นกัน

 

          ดังนั้น เราทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นคนยากจนคนขัดสน หรือคนร่ำรวย คนอ่อนแอ คนแข็งแรง คนสวย คนไม่หล่อ ทุกคนมีสิทธิได้รับ حَيَاةً طَيِّبَةً ชีวิตที่ดีงาม ขอเพียงแต่ให้เขานั้นมีอัตตักวาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر ، الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย สุดท้ายนี้ ในโอกาสวันอีดิลฟิฏรฺนี้ ขอให้เราได้ร่วมกันกล่าวตักบีร ให้ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พร้อมทั้งขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงตอบรับการถือศีลอดของเรา ตอบรับการทำอะมัลศอและฮฺตลอดจนอิบาดะฮฺ ความดีงามต่างๆของเราทั้งหมด 

 

          และเราอย่าลืมการถือศีลอดสุนัต 6 วันในเดือนเชาวาล คือเดือนนี้ โดยเราจะถือติดต่อกันทั้ง 6 วัน หรือจะไม่ติดต่อกันก็ได้ การถือศีลอดสุนัต 6 วันในเดือนเชาวาลหลังจากการถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน จะได้รับผลบุญเสมือนกับการถือศีลอดตลอดทั้งปี และยังเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอีกด้วย

 

     ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 27 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

«إِنَّمَا يَتَقَبَّلُ اللَّهُ مِنَ الْمُتَّقِينَ»

 

แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับการงานของผู้ที่มีอัตตักวาเท่านั้น

 

จากมัสยิด ดารุ้ลอิห์ซาน