ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์
  จำนวนคนเข้าชม  14316

ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์

           เราจะเปิดโอกาสให้ท่านเล่าเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง เพราะท่านมีความรู้สึกอันล้ำลึก และรายงานเหตุการณ์ได้ละเอียดอ่อนแม่นยำกว่า

ท่านซัลมานได้เล่าไว้ว่า :

          ฉันเป็นชายหนุ่มชาวเปอร์เซีย อาศัยอยู่ ณ เมืองอัซบะฮาน ซึ่งตั้งอยู่ในตำบล ญัยยาน บิดาเป็นผู้นำประจำหมู่บ้าน ครอบครัวของฉันร่ำรวยที่สุด มีบ้านพักใหญ่โตระโหฐาน กว่าครอบครัวอื่นๆ นอกจากนั้น ตัวฉันเองนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ก็กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าชิ้นเดียวที่บิดารักมากที่สุด ความรักที่บิดามอบให้ฉันนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งถึงกับได้กักกันตัวฉันไว้ในบ้าน คล้ายกับว่า ฉันเป็นลูกผู้หญิง เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ออกนอกบ้านอาจจะได้รับอันตราย

          ฉันตั้งหน้าปฎิบัติศาสนกิจ ตามลัทธิบูชาไฟ อย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นผู้มีหน้าที่ยืนถือไฟ ที่พวกเรากราบไหว้ใครจะปฎิบัติพิธีกรรมบูชาไฟ จะต้องจุดต่อจากต้นไฟที่ฉันถืออยู่ จนกระทั่ง ไฟไม่เคยดับเลยตลอดวันตลอดคืน 


          บิดาของฉันเป็นเจ้าของไร่ ท่านดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี คอยเก็บผลไม้เป็นประจำ จึงมีรายได้ จากผลิตผลมากมายมหาศาล

อยู่มาวันหนึ่งท่านติดธุระในเมือง ไม่สามารถไปไร่ได้ตามปกติ ท่านจึงกล่าวแก่ฉันว่า :
 
          ลูกรัก พ่อไปทำงานในไร่ทุกวัน ดังที่เจ้าเห็นแล้วนั่นแหละ วันนี้ ขอให้เจ้าจัดการดูแลแทนพ่อด้วย เพราะพ่อมีธุระที่จะต้องทำ

          ฉันจึงออกจากบ้าน มุ่งไปไร่ทันที ระหว่างทางนั้น ฉันเดินผ่านโบสถ์หลังหนึ่งซึ่งเป็นของศาสนาคริสต์ ได้ยินเสียงพวกเขาสวดวิงวอน อยู่ในนั้น จึงทำให้ฉันเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์หรือ ศาสนาอื่นๆมาก่อนเลยเพราะพ่อให้ฉันอยู่แต่ในบ้าน คอยกักกันไม่ให้พบปะกับใคร เมื่อฉันได้ยินเสียงของพวกเขาจึงเข้าไปดู เพื่อที่จะได้ดูพิธีที่พวกเขากำลังปฎิบัติอยู่

         เมื่อฉันได้ พินิจพิจารณาดูการสวดวิงวอน ทำให้ฉันประหลาดใจและประทับใจศาสนาของพวกเขามาก จึงกล่าวกับตัวเองว่า :

          ขอสาบานว่า ศาสนานี้ดีกว่าศาสนาที่เรานับถืออยู่ ขอสาบานว่าวันนี้ฉันจะอยู่กับพวกเขาจนดวง อาทิตย์ตก ฉันไม่ไปไร่ของพ่ออีกแล้ว

หลังจากนั้น ฉันจึงถามพวกเขาว่า :

          ต้นกำเนิดของศาสนานี้อยู่ที่ไหน?
 
พวกเขาตอบว่า :

         อยู่ที่ชาม หรือ ซีเรีย

มืดแล้ว ฉันกลับถึงบ้าน พ่อไต่ถามว่า :

           ได้ไปทำงานอะไรในไร่บ้าง?
 
ฉันจึงกล่าวว่า :

         คุณพ่อครับ ลูกเดินผ่านคนกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขากำลังสวดวิงวอนอยู่ในโบสถ์ สิ่งที่ลูกเห็น จากการปฎิบัติศาสนกิจทำให้ลูกประหลาดใจมากลูกจึงอยู่ที่นั่นจนตะวันตกดิน

เมื่อบิดาได้ฟังดังนั้น ท่านกลัวมาก และกล่าวว่า :

         ลูกรัก ศาสนาที่ลูกได้พบมานั้นไม่ดีเลย ศาสนาของเจ้าและศาสนาของบรรพบุรุษของเจ้าซิ ดีกว่า

ฉันค้านว่า :

          ไม่จริงหรอกพ่อ ลูกสาบานให้ก็ได้ว่าศาสนาของพวกเขานั้น ดีกว่าศาสนาของเรา 

          เมื่อพ่อได้ยินฉันพูดเช่นนั้นก็ยิ่งกลัวมากขึ้น กลัวว่าฉันจะออกจากศาสนาเดิมที่นับถืออยู่ คือบูชาไฟ พ่อจึงขังฉันไว้ในบ้าน คราวนี้มัดเท้าทั้งสองของฉันด้วย

         เมื่อโอกาสเหมาะ ฉันจึงส่งคนหนึ่งไปหาพวกคริสต์ และสั่งว่า :

         ถ้าหากมีกองคาราวานบรรทุกสินค้ามาถึงที่นี่ และจะไปเมืองชามก็จงช่วยส่งข่าวให้ฉันทราบด้วย

         อีกไม่กี่วันต่อมา ได้มีกองคาราวานบรรทุกสินค้ามุ่งหน้าไปเมืองชาม พวกคริสต์จึงแจ้งข่าวนี้ ให้ฉันทราบ ฉันพยายามแก้เชือกที่มัดเท้าทั้งสองข้างจนสำเร็จ และหลบซ่อนออกจากบ้าน แอบเดินทางไปกับกองคาราวาน จนกระทั่งถึงเมืองชาม

          ฉันพักอยู่ที่นั่น ถามพวกเขาว่า :

         ใครคือผู้ประเสริฐสุด ของศาสนานี้

          พวกเขาตอบว่า :

          บาทหลวงที่โบสถ์แห่งหนึ่ง

          ฉันจึงไปหาบาทหลวงผู้นั้น และแจ้งความประสงค์ว่า :

          ฉันประทับใจชาวคริสต์มาก และปรารถนาจะอยู่กับท่าน รับใช้ท่านร่ำเรียนเรื่องศาสนา และจะได้สวดวิงวอนพร้อมท่านด้วย

          บาทหลวงผู้นั้นตอบว่า :

          ยินดีต้อนรับ ขอเชิญมาอยู่กับเราเถิด

          ฉันจึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ ณ โบสถ์แห่งหนึ่งนั้น และรับใช้บาทหลวงในกิจการของโบสถ์พร้อมกันไป ต่อมาฉันรู้ว่าชายผู้เป็นบาทหลวงนั้น มีพฤติกรรมไม่ดี คือเขาใช้ประชาชนบริจาคทาน และบอกว่า ผู้บริจาคนั้นจะได้ผลบุญผลตอบแทนอย่างมากมาย

          แต่เมื่อประชาชนบริจาคทรัพย์ให้เขาใช้จ่ายในกิจการของพระเจ้า เขากลับนำเอาทรัพย์นั้นไปสะสมไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองแต่เพียงผู้เดียว ไม่เคยแจกจ่ายให้คนยากจนเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งสะสมทองคำไว้จนเต็มเหยือกน้ำขนาดใหญ่ มีจำนวนถึงเจ็ดเหยือกเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉันจึงโกรธ และเกลียดเขามากที่สุด

 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์ 2  >>>Click