ภูมิรัฐศาสตร์ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
  จำนวนคนเข้าชม  16436

พัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์

          พัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี  ยะลาและนราธิวาส ก่อนการจัดตั้งเป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2476  ดินแดนแห่งนี้ผ่านอารยธรรมมาหลายยุคสมัยตามลำดับดังนี้

          1. ) สมัยก่อนประวัติศาสตร์  สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลักฐานการอยู่อาศัยของคนพื้นเมืองมาแต่ก่อน 3000 ปีที่ผ่านมา โดยเรียกรวมว่า พวกโอรัง อัสลี  ( Orang  Asli )  ซึ่งได้แก่ กลุ่มนิกริโต ( Nigrito ) เช่น ซาไกและเซมัง  นอกจากนี้ยังมีกลุ่มซีนอย ( Senoi ) เผ่ามองโกลอยด์ได้แก่  บรรพบุรุษของชาวสยามอยู่อาศัยมานานนับพันพันปีเช่นกัน  หลักฐานที่สำคัญในสมัยนี้ได้แก่ ภาพเขียนสี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำศิลป์  จังหวัดยะลา  เครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ขวานหิน  ซึ่งพบหลายแห่งตามถ้ำและที่ราบ

          2.) สมัยเริ่มประวัติศาสตร์  ประมาณ 2000 ปี ที่ผ่านมาถึงราว  พ.ศ.  700 มีชาวอินเดีย และชาวอาหรับบางกลุ่มเดินทางมายังแถบนี้  พร้อมทั้งนำศาสนาและวัฒนธรรมมาเผยแพร่  ทำให้ศาสนาฮินดูเริ่มเข้ามาในระยะนี้  ชนพื้นเมืองเริ่มค้าขายกับชนต่างถิ่น  เริ่มตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มมากขึ้นบริเวณปากแม่น้ำและบริเวณที่มีการติดต่อค้าขายสะดวก แถบนี้กลายเป็นที่พบกันของพ่อค้านักเดินเรือ   ชุมชนบางแห่งขยายตัวเป็นเมืองในเวลาต่อมา

          3.) สมัยอาณาจักรโบราณลังยาซูหรือลังกาสุกะ ราว พ.ศ. 700 – 1400 ปรากฏในบันทึกการเดินทางของชาวจีนว่ามีรัฐต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งบนคาบสมุทรมลายู  โดยอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนัน  ( Funan )  ในจำนวนนั้นมีรัฐลังยาซู ( Lang Ya Shiu ) รวมอยู่ด้วย ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 11 ลังยาซูเป็นอิสระ  มีหลักฐานการส่งทูตไปเยือนจีนเมื่อ พ.ศ. 1058 , 1066 , 1074  และ1111 ระหว่างพุทธศตวรรษที่  11 – 14 ถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของลังยาซูหรือลังกาสุกะ แหล่งโบราณสถานแถบท่าสาบ จังหวัดยะลา และอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี  ที่ยังคงปรากฏร่องรอยอยู่เป็นจำนวนมากถูกสร้างขึ้นในระยะนี้ โดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา

          4.) สมัยลังกาสุกะภายใต้การปกครองของศรีวิชัย  ราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15 ลังกาสุกะตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งมีกำลังกองทัพเรือเป็นจำนวนมาก  ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้รับความนิยมมาก  ชาวลังกาสุกะยอมรับนับถือพุทธศาสนาฝ่ายมหายานอย่างแพร่หลาย  ศาสนสถานหลายแห่งและศิลปวัตถุในพุทธศาสนาถูกสร้างขึ้นมากในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์  รวมทั้งพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ในถ้ำคูหามุข  จังหวัดยะลา  และพุทธรูปปางต่าง ๆ จำนวนมากก็ถูกสร้างขึ้นในสมัยนั้น

          5. ) สมัยลังกาสุกะภายใต้อำนาจของโจฬะ ตั้งแต่ พ.ศ. 1535 เป็นต้นมา  กองทัพโจฬะแห่งอินเดียเข้าโจมตีเมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรศรีวิชัย  เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าในช่องแคบมะละกาและเมืองหลายแห่ง  รวมทั้งลังกาสุกะซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของโจฬะในปี พ.ศ. 1567  แต่หลังจากนั้นชาวเมืองลังกาสุกะก็ได้ต่อสู้ยึดคืนมาได้ในปี  พ.ศ. 1587  แม้ว่าหลังจากนั้นศรีวิชัยจะกลับมามีอำนาจ  แต่ก็พ่ายแพ้ต่ออาณาจักรที่ตั้งขึ้นมาใหม่ คือ มัชปาหิต   ในปี พ.ศ. 1836 ในระยะนี้ศาสนาอิสลามแผ่เข้ามามากขึ้นโดยพ่อค้าและนักเผยแพร่ศาสนาชาวอาหรับและชาติต่าง ๆ
 
          6.) สมัยลังกาสุกะภายใต้อำนาจของสุโขทัย-อยุธยาและมัชปาหิต ในปี พ.ศ. 1838  กองทัพสุโขทัยซึ่งลงมาอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราชตั้ง แต่ต้นรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ร่วมกับกองทัพเรือนครศรีธรรมราชลงไปทำสงครามเพื่อปกครองเมืองต่าง ๆ บริเวณปลายแหลมมลายูไปจนถึงเตมาสิก ( สิงคโปร์ในปัจจุบัน ) ไปจนถึงเมืองปาโซ บนเกาะสุมาตรา  ตำนานนครศรีธรรมราชบันทึกไว้ว่า   ไทยได้ส่งเจ้าเมืองไปปกครองหัวเมืองมลายู ได้แก่เมืองปัตตานี ( ลังกาสุกะ ) เมืองสาย ( สายบุรี ) เมืองกลันตัน เมืองปาหัง เมืองไทร  ( ไทรบุรี ) เมืองอะเจ ( อาเจห์ )   แต่ครองอำนาจได้ไม่นาน  อาณาจักรมัชปาหิตก็ขยายอำนาจมาปกครองหัวเมืองดังกล่าว  โดยลังกาสุกะอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัชปาหิตในปี พ.ศ. 1884-1907  ขณะเดียวกันศาสนาอิสลามก็แผ่ขยายเข้ามามากขึ้นในหมู่ประชาชนหัวเมืองมลายู  โดยเฉพาะแถบเมืองปาไซและมะละกา

          7. ) สมัยลังกาสุกะล่มสลายและกำเนิดเมืองปตานี  ในช่วงต้นสมัยอยุธยา  มะละกามีอำนาจมากขึ้น  ต่อมาได้ปฏิเสธอำนาจของมัชปาหิตของสยาม  ทำให้สยามต้องยกทัพไปปราบปรามมะละกาแต่ไม่สามารถเอาชนะได้  ในปี พ.ศ. 1998  กองทัพมะละกาได้บุกเข้าโจมตีเมืองโกตามหลิฆัยของลังกาสุกะ และขยายอำนาจเข้าปกครองเมืองต่างๆแถบปลายแหลมมาลายู ทำให้ชาวเมืองหันมานับถือศาสนาอิสลามตามแบบอย่างมะละกามากขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับปัตตานีนั้นพญาอินทิราโอรสของราชาศรีวังสาแห่งโกตามหลิฆัย ได้สร้างเมือง “ ปตานี “ ขึ้นใหม่ที่ริมทะเลบ้านกรือเซะบานา  ราว พ.ศ. 2000  ต่อมาทรงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามและเปลี่ยนพระนามเป็น  สุลต่าน  อิสมาอีล  ชาห์  ปกครองเมืองปัตตานีระหว่างปี พ.ศ. 2043-2073  นับแต่นั้นมาเมืองปัตตานีเข้าสู่ยุคอิสลามโดยสมบูรณ์  มีความรุ่งเรื่องมากทั้งในด้านการผลิตนักเผยแพร่อิสลามและเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลาม จนได้รับยกย่องว่า  “ ปตานีเป็นกระจกเงาและเป็นระเบียงแห่งเมกกะ “  ปัตตานีมีสุลต่านหรือยาราเป็นเจ้าเมืองปกครองต่อเนื่องมาถึง 23 พระองค์  ในปี พ.ศ. 2351  จึงมีการปรับปรุงการปกครองเป็นระบบ 7 หัวเมือง

          8. ) สมัยปกครอง 7 หัวเมือง ตั้งแต่ พ.ศ. 2351 เป็นต้นมา  มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 7 เมือง  ได้แก่ เมืองปัตตานี หนองจิก  ยะหริ่ง  ยะลา  รามันห์  ระแงะ  และสายบุรี   แต่ละเมืองมีเจ้าเมืองซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลสยามที่กรุงเทพเป็นผู้ปกครอง  โดยมีหลักว่าเมืองใดมีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากก็ให้มีเจ้าเมืองที่นับถือ ศาสนาอิสลาม  เมืองใดที่มีการนับถือศาสนาพุทธมากก็ให้มีเจ้าเมืองที่นับถือพุทธศาสนา  แต่ในทางปฏิบัติประสบปัญหาอยู่เนือง ๆ  เจ้าเมืองกับรัฐสยามรวมทั้งประชาชนในเมืองต่าง ๆ มีข้อขัดแย้งอันเนื่องจากการปกครองอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องยกเลิกการปกครองรูปแบบนี้ไปในปี 2445  ปัจจุบันยังคงมีวังที่เคยเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง  เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลาน  แต่บางแห่ก็ทรุดโทรมและถูกทิ้งล้างไปตามกาลเวลา

          9. ) สมัยมณฑลเทศาภิบาล  ในปี พ.ศ. 2449  รัฐสยามประกาศตั้งมณฑลปัตตานี มีสมุหเทศาภิบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสยามเป็นผู้ปกครอง  มีเมืองเข้ารวมอยู่ในมณฑลปัตตานี 4 เมือง  คือ เมืองปัตตานี  ( รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และปัตตานี )  เมืองยะลา ( รวมเมืองรามันห์และยะลา ) เมืองสายบุรีและเมืองระแงะ  ต่อมาในปี พ.ศ. 2465 ได้ยกฐานะเมืองทั้ง 4 เป็นจังหวัด  ทำให้ปัตตานี ยะลา สายบุรี และนราธิวาส  มีฐานะเป็นจังหวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2465 เป็นต้นมา  ในสมัยมณฑลเทศาภิบาลอำนาจและบทบาทของเจ้าเมืองในระบบเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2043 สิ้นสุดลง  ทำให้มีข้อขัดแย้งหลายกรณีเกิดขึ้น  นำไปสู่การเคลื่อนไหวการจัดตั้งองค์กร  เพื่อเรียกร้องอิสรภาพปัตตานีในเวลาต่อมา

          10. ) สมัยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2474  รัฐบาลประกาศยกเลิกมณฑลปัตตานี และยุบจังหวัดสายบุรี   ลดฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดปัตตานี  โดยรวมจังหวัดทั้งสามไว้ในการปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งการปกครองออกเป็น  จังหวัดและอำเภอ  ทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้  คือ  ปัตตานี ยะลา นราธิวาส  มีฐานะเป็นจังหวัดในระบบราชการบริหารส่วนภูมิภาคและมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารการปกครอง  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน

          จากลำดับพัฒนาการดังกล่าวทำให้เห็นว่าดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเจริญรุ่งเรืองถึงระดับที่เรียกขานกันว่าเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรไทย  ต่อมาอำนาจของเมืองหลวงคือ สุโขทัย ได้แผ่ขยายลงมาทางใต้ต่อเนื่องมาถึงสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์  โดยแต่ละช่วงสมัย  ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับรัฐไทย  กับปัตตานีหรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แตกต่างกันไปตามพลังอำนาจทางการเมือง และความเข้มแข็งของแต่ละฝ่าย  ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวกับปัตตานีและประวัติศาสตร์ปัตตานีที่เกี่ยวกับรัฐไทยมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน  ดังนั้นการนำเสนอตามลำดับพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์อาจช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

          สิ่งที่คนไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และคนไทยทั่วไปความภาคภูมิใจประการหนึ่ง ได้แก่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมากมาย ที่บ่งบอกถึงพัฒนาการทางสังคมของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน 

         แม้ว่าการอธิบายความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตเป็นเรื่องยากที่จะหมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกขัดแย้งเกลียดชัง  แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เข้าใจตรงกัน  อารยประเทศทั้งหลายจึงเลือกที่จะให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องตั้งแต่เยาว์วัย  เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่ขัดแย้งกันอีก  กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เช่นเดียวกัน   น่าจะถึงเวลาที่ทุกฝ่ายหันมาศึกษาเรียนรู้และเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ร่วมกัน  ความรุนแรงบาดหมางต่าง ๆ ที่เคยมีมาและกำลังเป็นอยู่อาจบรรเทาเบาบางลงได้หากได้เข้าใจซึ่งกันและกัน ดีกว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใจและถือประวัติศาสตร์กันคนละฉบับแล้วลาดน้ำมันจุดไฟโยนใส่กันและกัน ดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


ดร.ครองชัย หัตถา

รองศ. ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ที่มา : ศูนย์ข่าวอิศรา