สิทธิการหย่าเป็นของผู้ชาย
  จำนวนคนเข้าชม  27444

 

สิทธิการหย่าเป็นของผู้ชาย

 

          การหย่าในสมัยก่อนอิสลามนั้นไม่มีการควบคุมใด ๆผู้ชายสามารถหย่าผู้หญิงเมื่อใดก็ได้ที่เขาต้องการและเขาสามารถรับเธอเป็นภรรยาอีกครั้งเมื่อไหร่ที่เขาต้องการแล้วอิสลามก็มากับการควบคุมการหย่าเพื่อคุ้มครองผู้หญิงจากการถูกขดขี่โดนรังแก และถูกเอาเปรียบเนื่องจากการหย่านี้

 

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ได้กล่าวว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของเขาเมื่อใดก็ได้ที่เขาต้องการหย่าและนางจะเป็นภรรยาของเขาอีกเมื่อเขาปรารถนาจะรับนางเป็นภรรยาในช่วงระยะเวลาที่เขาสามารถคืนดีกับนางได้ แม้เขาจะหย่านางไปแล้ว 100 ครั้ง หรือมากกว่านั้นแล้วก็ตาม

จนกระทั่งเขาจะกล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันจะหย่าเจ้าดังนั้นเจ้าจงหลีกห่างจากฉันเสีย ฉันจะไม่เข้าหาเจ้าโดยเด็ดขาด

ภรรยาจึงกล่าวว่า ทําไมต้องเป็นเช่นนั้นด้วย ?

เขาตอบว่า ฉันหย่าเจ้าเมื่อไหร่ ซึ่งวาระการหย่าร้างเกือบจบลงฉันจะย้อนกลับคืนดีกับเจ้าอีกครั้ง

        ผู้หญิงดังกล่าวจึงไปขอเข้าพบท่านหญิงอาอิชะฮฺและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ท่านหญิงอาอิชะฮฺอยู่นิ่งเฉยจนกระทั่งท่านศาสนทูตเข้ามา ท่านหญิงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังท่านจึงหยุดนิ่งสักพักหนึ่งจนกระทั่งมีโองการกุรอ่านลงมา ความว่า :

“การหย่านั้นมีสองครั้ง แล้วให้มีการยับยั้งไว้โดยชอบธรรมหรือไม่ก็ปล่อยไปพร้อมด้วยการทำความดี”

         ท่านหญิงอาอิชะฮฺ กล่าวต่ออีกว่า :บรรดาสาวกของท่านศาสนทูตต่างเริ่มทบทวนการหย่าร้างกันใหม่ทั้งที่เคยหย่าร้างมา หรือไม่เคยมาก่อน.[151]และอิสลามไม่สนับสนุนการหย่า

ท่านศาสนทูตอัลลอฮฺกล่าวว่า

“ไม่มีการงานใดที่อัลลอฮฺไม่ทรงอนุมัติแล้วพระองค์ทรงกริ้วมากที่สุดนอกจากการหย่า” 

 

และที่อิสลามได้ทำให้เป็นที่อนุมัติก็เพื่อเป็นทางออกในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น  ท่านศาสนทูต (ขอความสันติและความสงบสุขแด่ท่าน[152]) กล่าวว่า

“ท่านจงอย่าหย่าภรรยาเนื่องด้วยความสงสัยแท้จริงแล้วอัลลอฮฺไม่ชอบผู้ชายและผู้หญิงที่ชอบลิ้มลอง (หมายถึงแต่งงานไปเรื่อยเพียงเพราะกามารมณ์)

 

         และกฎหมายอิสลามได้พยายามทำให้เป็นบรรทัดฐานการแก้ปัญหาในการแก้ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาโดยไม่ทำให้เกิดการหย่า อัลลอฮฺ ซุบฮานาฮูวาตะอาลา กล่าวว่า:[153]

“และหากหญิงใดเกรงว่าจะมีการปึ่งชา หรือมีการผินหลังให้ จากสามีของนางแล้วก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่ทั้งสอง

ที่จะตกลงประนีประนอมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งดีกว่า”
 

 

ทำไมสิทธิการหย่าจึงเป็นของผู้ชาย ..?

         เป็นภาวะปกติที่มีการพูดว่า การหย่าอยู่ในมือของผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงนั้นก็เพราะผู้ชายต้องใช้ทรัพย์สินของเขาในการแต่งงานและที่อยู่อาศัยตราบใดที่ ผู้ชายคือผู้ที่จ่ายค่าสินสมรสและเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดการแต่งงาน เขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัยและเขาเป็นผู้จัดหาค่าใช้จ่ายในครอบครัวจึงเป็นสิทธิที่ต้องให้อยู่ในมือเขาที่จะตัดสินจุดสิ้นสุดของชีวิตการแต่งงานของเขาเมื่อเขาพร้อมที่จะรับกับความสูญเสียด้านทรัพย์สินเงินทองและจิตใจที่เกิดจากการหย่านั้น

เพราะเขาเองก็รู้ว่าเขาจะต้องสูญเสียจากการหย่าอยู่แล้วเขาต้องสูญเสียด้านทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นค่าสินสมรสที่เขาได้จ่ายไปแล้วจะไม่ได้รับกลับคืนเขาต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายที่เขาได้จ่ายไปในการจัดการแต่งงานนี้ทั้งหมดเขาอาจได้รับการปฏิเสธจากภรรยาในการจ่ายคืนค่าใช้จ่ายต่างๆหลังจากหย่าก็เป็นได้ และเขาจำเป็นต้องตกลงเรื่องการแต่งงานใหม่ไม่ว่าจะเป็นการออกค่าใช้จ่ายต่างๆ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานใหม่นี้ทั้งหมดอีกด้วย

          เป็นที่สามารถอ้างได้ด้วยว่า โดยปกติ ผู้ชายจะระงับความโกรธไว้ได้และสามารถควบคุมพฤติกรรมของเขาเมื่อเกิดการทะเลาะ และขัดแย้งกันระหว่างเขากับภรรยาของเขาได้ ซึ่งโดยปกติผู้ชายจะใช้การหย่าเป็นทางแก้ขั้นสุดท้ายเนื่องจากไม่มีความหวังที่จะสามารถอยู่อย่างฉันท์สามีภรรยากันได้อีกแล้วเท่านั้น

         และด้วยสภาวะเช่นนี้ ข้อบัญญัติของอิสลามก็ไม่ได้ห้ามผู้หญิงในการจัดการหย่าซึ่งผู้หญิงก็มีสิทธิที่จะครองสิทธิในการหย่าได้เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อนางกําหนดเงื่อนไขนี้ในพีธีเเต่งงานและได้รับการยินยอมจากผู้เป็นสามี.

         และเนื่องจากข้อบัญญัติของอิสลามเป็นข้อบัญญัติธรรมชาติ คือมีความครบถ้วนตามความต้องการของความเป็นมนุษย์และรวมถึงสิ่งที่อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์รู้สึกได้อย่างที่อิสลามได้ให้แก่ผู้ชายซึ่งสิทธิที่จะตัดขาดกับภรรยาของเขาเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

         ในทำนองเดียวกันอิสลามก็ได้ให้สิทธิ์แก่สตรีซึ่งสิทธินี้เมื่อเธอไม่ประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกับสามีของเธอด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อเธอต้องประสบความเลวร้ายในการอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นด้วยวาจา การกระทำ หรือข้อตำหนิของเขาด้านกายภาพ เช่นเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศ หรือไม่สามารถสร้างความสุขให้กับเธอได้หรือเขาเป็นโรคร้ายหลังการแต่งงาน เช่น โรคเรื้อน วัณโรคหรือโรคอื่นๆที่คล้ายกันนี้ที่เป็นโรคที่น่ารังเกียจ

         ซึ่งอิสลามได้ให้สิทธิแก่สตรีที่ได้รับผลกระทบนี้สามารถเรียกร้องเพื่อยกเลิกการแต่งงานได้ เพียงแต่มีวิธีการที่แตกต่างซึ่งเรียกว่า “ซื้อหย่า” คือเป็นการจ่ายคืนที่ภรรยาได้รับจากสิ่งที่สามีได้จ่ายไปไม่ว่าจะเป็นค่าสินสมรส และค่าใช้จ่ายที่สามีได้จ่ายไปในการแต่งงานนี้ด้วยและนี่คือการสิ้นสุดที่ยุติธรรมเพราะเธอเป็นผู้ที่ต้องการยกเลิกการแต่งงานนั้นเองและหากสามีปฏิเสธที่จะตกลงเรื่อง “ซื้อหย่า”  แล้วนางสามารถร้องเรียนแก่ผู้พิพากษาเพื่อให้ตัดสินในสิทธินี้ได้

 


http://www.musliminside.org