บ้านที่ขั้นกลางระหว่างดาวอังคารกับดาวศุกร์...
  จำนวนคนเข้าชม  6823

บ้านที่ขั้นกลางระหว่างดาวอังคารกับดาวศุกร์

ในปฐมยุค...


                สิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่ง อาศัยอยู่บนดาวที่สร้างโดยพระผู้เป็นเจ้า สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นคืออะไร ในคัมภีร์เล่มสุดท้ายไม่ได้บอกเอาไว้ รู้แต่เพียงสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินจนพระผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาศัยอยู่บนโลกอีก ด้วยความสัตย์จริง! ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถึงผมจะแอบสงสัยว่ามันอาจเป็นพวกไดโนเสาร์ก็ตาม แต่ในเมื่อในคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่บริสุทธิ์จากการบิดเบือนไม่ได้ระบุข้อมูล ผมจะไม่สรุป  และในยุคต่อมามนุษย์คู่แรกถูกส่งลงมาบนโลก เพื่อเป็นการลงโทษในความผิดที่เขาทั้งสองได้กระทำ อาดัม... กับฮาวาอฺ ทั้งสองอยู่บนโลกในฐานะผู้ที่สำนึกในความผิด ทั้งคู่ถูกเนรเทศออกจากสรวงสวรรค์มาพร้อมกับ ชัยฏอน ศัตรูผู้ยุยงให้ทั้งสองฝ่าฝืน ผมจะเล่าถึงวิธีที่ชัยฏอน(ซาตาน)หลอกล่อนบีอาดัมและฮาวาอฺให้ทุกท่านฟัง


                ในสวรรค์พระเจ้าทรงเมตตาต่ออาดัมเป็นพิเศษจนอิบลีสบ่าวตนหนึ่งรู้สึกอิจฉา อิบลีสถือตนว่าถูกสร้างมาจากไฟแต่อาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดินต่ำต้อย เลยคิดว่าตนเองควรจะประเสริฐกว่าอาดัม จึงออกอุบายให้อาดัมและฮาวาอฺฝ่าฝืนพระเจ้า โดยการเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวรรค์ ซึ่งต้นไม้นั้นไม่เป็นที่อนุญาตให้ทั้งสองเข้าใกล้มัน และเมื่อฮาวาอฺต้องการเข้าไปใกล้มันและอาดัมก็ทำตามประสงค์ พระเจ้าได้ลงโทษผู้ฝ่าฝืนทั้งสองทันทีด้วยการทำให้ทั้งสองเปลือยกาย อาดัมและฮาวาเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ และเกิดความละอาย ทั้งสองรีบขออภัยโทษต่อพระองค์ด้วยความยำเกรง จากนั้นเอง ทั้งอาดัมและภรรยาผู้หลงผิด ตลอดจนลูกหลานของทั้งสองจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ และอิบลีสผู้ล่อลวง ผู้ฉ้อฉลถูกตัดสินโทษให้อยู่ในนรกตลอดกาล


      แต่ด้วยการวิงวอนของอิบลีส จะขอล่อลวงลูกหลานของอาดัมศัตรูของมัน ให้หลงจนต้องเข้าไปอยู่ในนรกด้วยกัน พระเจ้าจึงทรงอนุญาตประวิงเวลาให้อิบลีสอยู่ล่อลวงลูกหลานอาดัมจนถึงวันสิ้นโลกเพื่อเป็นบททดสอบของมนุษย์ และหลังจากนั้นผู้ใดในบรรดามนุษย์ที่เชื่อฟังคำยุยงของอิบลีสก็ต้องลงไปพำนักอยู่ในนรกกับมัน และหากผู้ในรอดจากการล่อลวงของอิบลีสผู้นั้นก็จะได้รับสวรรค์เป็นการตอบแทนในฐานะผู้ผ่านการทดสอบจากพระเจ้า


บรรพชนบนผืนโลก


             บนโลก... หลังจากอาดัมเสียชีวิตไปหลายปี ลูกหลานของเขาที่เคยยึดมั่นในคำสอนเรื่องพระเจ้า, เรื่องสวรรค์, เรื่องนรก กลับหลงลืมสัจธรรมเหล่านั้น ท่านนบีอาดัมผู้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ชาติเคยสอนให้สักการะในพระเจ้าองค์เดียวไม่ตั้งภาคีใดๆ เสมอพระองค์ แต่ขณะนี้คำสอนของอาดัมกำลังสั่นครอน ลูกหลานเริ่มปั้นรูปปั้นเพื่อลำลึกถึงบรรพบุรุษบางคนที่เสียชีวิตไป ระยะแรกเป็นไปเพื่อ  รำลึกถึ งความดีงาม ของบรรพบุรุษ และต่อๆ มาความเชื่อต่อรูปปั้นเหล่านั้นจึงเลยเถิด จนกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกสักการะบูชา และแน่นอนนี่เป็นแผนการหนึ่งของชัยฏอนวงศ์วานของอิบลีส


           นานปีสัจธรรมยิ่งถูกลืม จนสังคมทั้งหมดยึดติดในการบูชารูปปั้นจนยากที่จะแก้ไข สังคมฟอนเฟะทั้งสุรา ยาเมา อบายมุขต่างๆ ระบาดทั่วทุกหัวระแหง และนั่นเองพระเจ้าจึงมีบัญชาให้ชายผู้ทรงธรรมหลายท่านในหลายยุคนำสาร นำการตักเตือนจากพระเจ้า ทยอยมาสู่มนุษย์ลูกหลานอาดัม หนึ่งในนั้นมีชื่อว่า "   นูวฮ์ หรือ โนอาร์


บุรุษแห่งเรือ


              นูวฮฺ ผยแพร่ตักเตือนผู้คนในยุคของเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เป็นเวลาถึง 950 ปี ด้วยความดื้อดึงของมนุษย์ ทำให้ไม่ยอมถอนตัวออกจากความชั่วร้าย หลังจากเวลาแห่งการตักเตือนผ่านไป พระเจ้าก็ได้บัญชาแก่ท่านนบีนัวฮฺให้สร้างเรือขนาดใหญ่ ขึ้นบนภูเขาสูง และใช้ให้เรียกร้องผู้คนที่ศรัทธาในพระเจ้าขึ้นบนนั้น พระองค์จะให้ฝนตกจนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เพื่อที่จะแยกผู้ศรัทธาที่เชื่อฟัง ออกจากผู้ปฏิเสธที่ดื้อดึง ในภาวะเช่นนั้นท่านนบีนูฮฺไม่สามารถช่วยใครได้เลย นอกจากผู้ที่เลือกที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วยความศรัทธา ภรรยาและลูกบางคนของนูวฮ์เลือกที่จะปฏิเสธ    ที่จะขึ้น  เรือและจมน้ำตายในที่สุด บุตรของนูฮฺที่เหลือรอดจนสืบเชื้อสายต่อมาก็คือยาฟุส, ฮาม, และซาม


บิดาแห่งศาสดาประกาศ


      หลายร้อยหลายพันปีต่อมาหลังจากน้ำท่วมโลกมนุษย์กลับคืนสู่ยุคเถื่อนอีกครั้ง สังคมที่เคยตกต่ำในสมัยของนูฮฺก็หวนกลับสู่สภาพนั้นอีก ครั้งนี้หน้าที่เรียกร้องผู้คนสู่สัจธรรมเป็นของทายาทของซามบุตรชายคนหนึ่งของนูฮฺที่รอดมากับเรือ


      อิบรอฮีม(อับราฮัม)

             บุตรชายของผู้ปั้นรูปเจว็ด เขาใช้วิทยปัญญาชี้แจง,โต้เถียง, เชิญชวนให้ผู้คนเลิกตั้งภาคี ตั้งแต่อิบรอฮีมยังอยู่ในวัยเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นผู้อาวุโสในที่สุด การทำงานเรียกร้องอย่างหนักเป็นเวลานานของอิบรอฮีมประสบความสำเร็จอย่างสูงในบั้นปลายของชีวิต ท่านนบีอิบรอฮีมมีผู้ปฏิบัติตามแนวทางของท่านอย่างมากมายและอิบรอฮีมผู้นี้เองเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดาแห่งศาสดาประกาศ อิบรอฮีมเป็นผู้สร้างอาคารกะบะฮฺในนครมักกะฮฺร่วมกับ อิสมาอีล บุตรชายคนหนึ่งซึ่งเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับทั้งปวงในเวลาต่อมา


      และอิสฮาก(ไอแซ็ก)

      บุตรอีกคนของอิบรอฮีมเป็นบรรพบุรุษของยิว ทั้งประชาชาติยิวและประชาติอาหรับล้วนเป็นลูกหลานของอิบรอฮีมทั้งสิ้น

 

วันเวลาของลูกหลานอิสราเอล


               นบีอิสฮากมีบุตรคนหนึ่งชื่อยะอฺกูบ(จาคอบ) และนบียะอฺกูบคนนี้เองเป็นนักรบที่กล้าหาญจนได้รับฉายาว่า อิสรออีล(อิสราเอล) ซึ่งแปลว่าทหารของพระเจ้าในภาษาฮิบรู ยะอฺกูบมีบุตรสิบสี่คนซึ่งแตกเป็นยิวทั้งสิบสองสาย หนึ่งในพี่น้องทั้งสิบสี่คนนั้นก็คือ ยูซุฟ(โจเซฟ) บุรุษที่งดงามที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีจรรยามารยาทดีเลิศจนเป็นที่รักของยะอฺกูบเกินกว่าบุตรคนอื่นๆ และด้วยความอิจฉาริษยา ยูซุฟถูกกลั่นแกล้งจากพี่น้องคนอื่นๆ จนไปตกระกำลำบากถึงอิยิปต์ ซึ่งต่อมาด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า นบียูซุฟสร้างผลงาน จนได้เป็นใหญ่เป็นโตในอิยิปต์ แต่ยูซุฟไม่ได้จดจำสิ่งที่พี่น้องของเขาเคยทำในอดีต รับพี่น้องทั้งหมดรวมทั้งยะอฺกูบบิดาผู้ตาบอด มาเลี้ยงดูอย่างดีที่อิยิปต์ และชาวยิวก็สืบเชื้อสายยุคแรกในดินแดนอียิปต์


             เชื้อสายของยะอฺกูบนี่เองที่พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาอันชาญฉลาดให้พวกเขา และหลายต่อหลายครั้งที่เขาใช้ความสติปัญญาของพวกเขาท้าทายพระองค์ ฝ่าฝืนพระองค์ จนพระเจ้าทรงลงโทษให้ชาวยิวไร้แผ่นดินอยู่เป็นหลักแหล่งเรื่อยมา แต่ทว่าพระองค์ยังทรงเมตตาชาวยิวครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยการส่งศาสดามาคนแล้วคนเล่าจากหมู่ชาวยิวเพื่อทำการอบรมสั่งสอนพวกเขาโดยเฉพาะ


             นบีมูซา(โมเสท) และนบีฮารูนพี่ชาย(อารอน) เป็นหนึ่งในศาสดาชาวยิวที่ถูกส่งมาปลดปล่อยยิวจากการอธรรมของฟิรอูน(ฟาโรห์)กษัตริย์อิยิปต์ พระเจ้าทรงมอบปาฏิหาริให้มูซามากมายจนพาชาวยิวข้ามทะเลแดงเอาตัวรอดปลอดภัยจากฟิรอูนสำเร็จ ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายที่ชาวยิวยังดื้อดึงไม่เชื่อฟัง เมื่อมูซาขึ้นไปรับสาร์นจากพระเจ้าบนภูเขาตูรเพียงสิบวัน ชาวยิวที่รออยู่ข้างล่างฝ่าฝืนโดยการปั้นรูปลูกวัวขึ้นกราบไหว้ตั้งภาคีต่อพระเจ้าแล้ว และด้วยการฝ่าฝืนครั้งแล้วครั้งเล่านี้เอง ที่ทำให้พวกเขาถูกลงโทษให้ไม่สามารถเข้าเยลูซาเล็มได้ หลงทางอยู่กลางทะเลทรายเป็นเวลาหลายสิบปี      

กำเนิดรัฐยิว

 
             หลังจากพระเจ้าทรงลงโทษชาวยิวระยะหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงเมตตาอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่เมื่องเยลูซาเล็มได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ตั้งรกราก เริ่มก่อร่างสร้างเมืองขึ้น และเริ่มมีกษัตริย์ปกครองตนเอง นบีดาวูด(เดวิด) เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ และเป็นศาสดาไปพร้อมๆ กัน กษัตริย์ดาวูดทะนุบำรุงชาติยิวจนรุ่งเรือง และผู้ที่ทำให้อาณาจักรยิวรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดก็คือ บุตรชายของนบีดาวูดที่ชื่อว่าสุไลมาน(โซโลมอน) เมื่อนบีสุไลมานได้รับบัลลังค์ต่อจากดาวูดผู้เป็นบิดา เขาสร้างคุณูประการให้แก่ประชาชนของเขามากมายโดยได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ด้วยอนุมัติจากพระองค์สุไลมานสามารถเข้าใจภาษาสัตว์ และมีทหารญินมากมายอยู่ใต้บังคับบัญชา


             เมื่อหมดยุคสุไลมาน รัฐยิวก็เริ่มเสื่อมลง จนกระทั้งไม่มีรัฐเป็นของตนเองอีกต่อไป จากเวลานั้นยิวกลับกลายเป็นชนเร่ร่อนอีกครั้ง ตราบนั้นเป็นต้นมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.. ซึ่งเรื่องนี้ผมจะยังไม่พูดถึง


             เมื่อไม่มีรัฐยิวแต่ชาวยิวก็ยังสืบเชื้อสายต่อมาเรื่อยๆ และศาสดาเชื้อสายยิวก็ถูกส่งมาเรื่อยๆ เช่นกัน อัยยูบ(โยบ), อิลยาส(เอเลียส), ซุลกิฟลี(เอเซเคียล), อัลญะซะฮฺ(เอลิซา), ยูนุส(โจนาส), ซะกะรียา(เซคาริยาหฺ), ยะฮฺยา(ยอร์น) บรรดานบีเหล่านี้สืบเชื้อสายชาวยิวและถูกส่งมาเพื่ออบรมสั่งสอนชาวยิว และชาวยิวมิได้ทำอื่นใดเลยนอกจากฝ่าฝืนศาสดาของตัวเอง และฆ่าศาสดาของตัวเอง


ท่านนบีอีซา ศาสดาแห่งความรัก

 

             และมาถึงยุคของศาสดาคนสุดท้ายที่มาจากลูกหลานแห่งอิสรออีล คืออีซา(เยซู/จีซัซ ไครซ์) ผู้กำเนิดมาจากครรภ์ของมัรยัม(มาเรีย)หญิงพรหมจรรย์ ท่านนบีอีซาประกาศเรียกร้องผู้คนสู่พระเจ้า โดยมียิวบางกลุ่มสนับสนุน และยิวอีกบางกลุ่มปองร้าย กลุ่มยิวที่หักหลังเพราะปฏิเสธที่จะเชื่อบนีอีซา ส่วนกลุ่มยิวอีกบางส่วนพร้อมทั้งชาวโรมันบางส่วนที่ยอมรับในอีซา ต่อมาพวกเขาเรียกตัวเองว่า ?คริสเตียน? หรือผู้เป็นสาวกของไครซ์ หลังจากที่ท่านนบีอีซาถูกยิวกลุ่มหนึ่งหักหลัง ท่านก็ตกอยู่ในอันตราย แต่ทว่าพระเจ้าทรงช่วยเหลือท่าน โดยยกท่านขึ้นบนฟ้า รอวันกลับลงมาบนโลกอีกครั้งในยุคสุดท้ายของโลก โดยที่ชาวคริสต์และชาวยิวส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าท่านนบีอีซาได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนเสียแล้ว


              ตั้งแต่บัดนั้นโลกใบนี้ก็เกิดศาสนาใหม่ขึ้นมา นั้นก็คือคริสต์ศาสนาซึ่งยอมรับทั้งคัมภีร์เล่มเก่า(โตร่า) ของมูซา และไบเบิ้ลคัมภีร์เล่มใหม่ของอีซา ส่วนยิวนั้นปฏิเสธอีซาและคัมภีร์อินญีลของท่าน โดยชาวยิวยังยึดถือเตารอต(โตร่า) เป็นหลัก ต่อมายิวได้ละทิ้งเตารอตหันมาใช้คัมภีร์ติลมูดที่นักบวชของพวกเขาแต่งขึ้นมาเอง ในส่วนของชาวคริสเตียนในยุคต่อๆมา จากที่เคยเชื่อว่าอีซาเป็นศาสนฑูตของพระเจ้า กลับกลายเป็นศรัทธาว่าอีซาเป็นบุตรของพระเจ้า และในที่สุดนบีอีซาเป็นพระเจ้าเสียเอง


ศาสนฑูตคนสุดท้าย


            หลายร้อยปีผ่านไปเป็นช่วงที่โลกเว้นว่างจากศาสดาที่ถูกส่งลงมาสั่งสอน โลกทั้งโลกกำลังรอคอยศาสดาคนสุดท้ายที่ถูกระบุเอาไว้ในคัมภีร์เล่มต่างๆ ทั้งชาวคริสต์และชาวยิวเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าศาสดาคนสุดท้ายจะกำเนิดจากชาวยิวเหมือนที่ผ่านๆ มา หากแต่ไม่เป็นเช่นนั้น ศาสดาคนใหม่ถือกำเนิดจากสายตระกูลอิสมาอีลบุตรของอิบรอฮีม เป็นชาวอาหรับ


            ถึงคราวที่มูฮัมหมัดประกาศศาสนา หากแต่นี่ไม่ใช่ศาสนาของชาวอาหรับ เป็นศาสนาของมนุษย์ทุกคน ชาวยิวส่วนน้อยที่ยอมรับในศาสดาท่านสุดท้ายนี้ ขณะที่ยิวส่วนมากปฏิเสธ เริ่มแรกก็มีคนศรัทธาต่อคำสอนของนบีมูฮัมหมัดกลุ่มเล็กๆ และความศรัทธาก็เริ่มค่อยๆ ขยายออกไปเรื่อยๆ สู่ที่ต่างๆ ในทั่วทุกมุมโลก


โลกยุคสุดท้าย


              ต่อมาก็มีความขัดแย้งกันระหว่างผู้ศรัทธาในนบีอีซากับผู้ศรัทธาในนบีมูฮัมหมัด จนเกิดสงครามขึ้นหลายครั้งเช่นสงครามครูเสด(สงครามไม้กางเขน)ซึ่งกินระยะเวลานานหลายร้อยปี เวลานั้นชาวยิวอยู่ในสภาพที่ตกต่ำไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง พวกเขากระจายกันอยู่ทั่วยุโรป ทั่วอเมริกา ทั่วโลก พอถึงยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษมีแผนที่จะรวมชาวยิวจากทั่วโลกมาอาศัยอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ และต่อมาไม่กี่สิบปี ยิวก็ยึดปาเลสไตน์ทั้งประเทศเป็นของตนเอง
     

          หลังจากที่ปาเลสไตน์อยู่ภายใต้การปกครองของยิวระยะหนึ่ง การปรากฏตัวของดัจญาล(มะซีอา)ก็จะเกิดขึ้น การปรากฏตัวของดัจญาลคือสัญญาณหนึ่งที่เตือนว่าโลกใกล้จะหมดอายุของมันแล้ว หลังจากการปรากฏตัวของดัจญาลไม่นานท่านนบีอีซา(เยซู)จะกลับลงมาจากฟากฟ้า เพื่อที่จะปราบดัจญาล ท่านนบีอีซาไม่ได้ลงมาในฐานะศาสนฑูตคนใหม่ หากแต่ลงมาในฐานะประชาชาติของศาสดาท่านสุดท้าย นบีอีซานำทัพผู้ศรัทธาต่อท่านและผู้ศรัทธาต่อนบีมูฮัมหมัดต่อสู้กับ ดัจญาลที่ได้รับการสนับสนุนจากชาวยิว จนดัจญาลประสบความพ่ายแพ้และเสียชีวิตในที่สุด


หลังจากนั้นมนุษยชาติก็จะรุ่งเรืองอยู่ในศาสนาที่ถูกต้อง


             แต่สภาพนั้นก็กินเวลาไม่นาน สังคมอันสงบสุขร่มเย็นจะค่อยๆ เสื่อมลงเรื่อยๆ คนดีในโลกจะค่อยๆ เสียชีวิตลง และเมื่อลมหายใจของคนดีคนสุดท้ายถูกเก็บไปนั้น จะเป็นวันที่ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก เมื่อนั้นโอกาสที่จะกลับเนื้อกลับตัวของมนุษย์ทุกคนหมดลงแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ถูกระบุในคัมภีร์ทุกเล่ม


      วันสุดท้าย... 


      เมื่อสัญญาณแห่งวันสุดท้ายถูกเป่า ทุกชีวิตก็จะตายลง... โลกก็ถึงคราวอวสาน


      หลังจากมีเสียงเป่าอีกครั้ง ทุกชีวิตตั้งแต่อาดัมจนถึงลูกหลานคนสุดท้ายของเขา จะถูกฟื้นคืนชีพมารับการไตร่สวนในสิ่งที่พวกเขาทำไว้บนโลกใบนี้...?

            .
ในมัสยิดเก่าๆ หลังหนึ่ง ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก


             พอจบประโยค ทุกคนในที่นั้นเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ตาทุกคู่มองไปยังอาลี อาลีชายกลางคนวัย 45 ปี นั่งนิ่งพักหนึ่งและกล่าวต่อช้าๆ ด้วยรอยยิ้มยินดีที่ปรากฎอยู่บนใบหน้า ทุกท่านคงแปลกใจ ที่ผมพูดเรื่องนี้ในวาระนี้... ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นทัศนะของมุสลิมที่มีต่อโลกใบนี้ เราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง ไม่มองโลกเพียงแค่วันนี้วันพรุ่งนี้ ภาพรวมของโลกจะสอนถึงจุดยืนและเป้าหมายของชีวิตให้กับมนุษย์ 


             อาลีพยายามกวาดตาเพื่อสบทุกสายตาที่นั่งห้อมล้อมเขาอยู่ แต่ก่อนที่จะถึงขั้นตอนสำคัญของงาน ผมขอสรุปบทเรียนเมื่อซักครู่ที่กล่าวมาเป็นข้อๆ เพื่อตักเตือนแก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวันนี้? อาลีขยับตัวเล็กน้อยคลายเมื่อย หลังจากนั่งนิ่งปราศรัยบนมัสยิดเป็นเวลานาน


      ซัลมา... ทีนี้ลูกก็รู้แล้วว่านโยบายของชัยฏอนคือการทำให้มนุษย์เปลื้องผ้า จงอย่าทำให้มันดีใจเหมือนครั้งที่มันเคยดีใจขณะที่อาดัมและฮาวาอฺถูกเปลื้องผ้า เพราะฉะนั้นจงรักษาสิ่งพึงสงวนของลูกให้ดี!

      ยาซิร... จงดูแลลูกสาวฉันให้ดี แต่อย่าตามใจเธอทุกเรื่อง อย่าทำพลาดเหมือนกับที่นบีอาดัมบรรพบุรุษของเราเคยพลาดมาแล้ว เมื่อพูดถึงยาซีร อาลีหันไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม และสบตาเขาด้วยความอ่อนโยน

      ซัลมา... ลูกอย่าคิดว่าลูกเหนือกว่าคนอื่นนะ... เพราะนั่นเป็นวิธีคิดของอิบลีสผู้ถูกสาปแช่ง

      ยาซิร... จงอดทนให้มากๆ เธอจะเห็นว่าหลังจากอดทนมา 950 ปีของนบีนูฮฺ ในที่สุดการช่วยเหลือของอัลลอฮฺก็จะมาถึง?

      ซัลมา... จำไว้ให้ดี สามีของลูกหรือแม้แต่ตัวพ่อเองก็ไม่สามารถช่วยลูกได้เลย ถ้าลูกยืนกรานจะอยู่ตรงข้ามอัลลอฮฺเหมือนกับภรรยาของนูฮฺ

      ยาซิร... ซัลมา... เมื่อเธอสองคนมีลูกหลาน ก็จงอบรมพวกเขาให้ได้เหมือนท่านนบีอิบรอฮีม และเธอทั้งสองจงรับบทเรียนจากเรื่องของชาวยิวเอาไปใคร่ครวญ เมื่ออัลลอฮฺให้ความสามารถอันใดก็ตามแก่พวกเธอ จงอย่านำเอาความสามารถเหล่านั้นไปท้าทายพระองค์ เหมือนกับชาวยิวผู้หลงทางเหล่านั้น และวาระสุดท้ายของโลกสอนพวกเธอว่าไม่มีอะไรบนดาวดวงนี้ที่ถาวร ดาวเล็กๆ ดวงนี้เป็นเพียงบ้านชั่วคราวที่เราลงมาอาศัยอยู่เท่านั้น

     ยาซิร..ซัลมา เธอทั้งสองจงอย่าลืมเด็ดขาดว่าบ้านที่แท้จริงของพวกเธอคือสรวงสวรรค์อันนิรันด์ บ้านเดิมของนบีอาดัมบรรพบุรุษของพวกเรา และเธอทั้งสองจงยึดเอาบ้านที่แท้จริงนี้เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตคู่เถอะ อย่าให้บ้านชั่วคราวนี้หันเหความสนใจของพวกเธอจากจุดหมายปลายทางได้


      อาลี เงยหน้ามองทุกคนและกล่าวต่อด้วยเสียงชุ่มชื่น และดังกว่าเดิม


      ยาซิร ฉันขอแต่งงานซัลมาบุตรีของฉันให้กับเธอ... ด้วยสินสอดที่ตกลงกันไว้?

      ผมรับการแต่งงานซัลมาบุตรีของอาลี... ด้วยสินสอดดังกล่าว? ยาซิรประกาศชัดถ้อยชัดคำ


ที่มา .. يونس