ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม 3
  จำนวนคนเข้าชม  4634

  

ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม


ภรรยาฟาโรห์แห่งอียิปต์

ตอนที่ 3

แทนที่ฟิรอูนจะตอบคำขอของมูซา เขากล่าวว่า : 

        และใครคือพระเจ้าแห่งสากลโลก
           (อัชชุอะรออฺ 26 : 23)

มูซากล่าวว่า :

       พระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาเชื่อมั่น
          (อัชชุอะรออฺ 26:24)

ฟิรอูนหัวเราะอย่างเย้ยหยันในคำพูดของมูซา และกล่าวแก่บรรดาบริวารของเขาอย่างหยิ่งยโสว่า :

         พวกท่านได้ยินไหม?
         (อัชชุอะรออฺ 26:25)

มูซาได้โต้ตอบคำพูดของฟิรอูน โดยเขากล่าวว่า :

          แท้จริงพระเจ้าแห่งสากลโลกนั้นคือ...

         พระเจ้าของพวกท่านและบรรพบุรุษสมัยก่อนๆนั้นด้วย
          (อัชชุอะรออฺ 26:26)

ฟิรอูนหันหน้าไปทางบริวารของเขา และยังคงถากถางมูซาต่อไปว่า :

         แท้จริงรอซูลของพวกท่าน ซึ่งได้ถูกส่งมายังพวกท่านนั้นเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน
         (อัชชุอะรออฺ 26:27)

มูซาไม่แยแสต่อคำถากถางของฟิรอูน และยังคงพูดถึงอัลเลาะห์ต่อไปว่า :

         พระเจ้าแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง หากพวกท่านใช้สติปัญญาพิจารณา
         (อัชชุอะรออฺ 26:28)

          ฟิรอูนไม่สนใจคำเชิญชวนไปสู่การสักการะอัลเลาะห์ และประกาศก้องอย่างหยิ่งยโสว่า เขาคือพระเจ้า พร้อมทั้งพูดข่มขู่มูซาว่า :

         หากเจ้ายึดถือพระเจ้าอื่นจากฉัน ฉันจะให้เจ้าไปอยู่ในหมู่ผู้ต้องขัง
         (อัชชุอะรออฺ 26:29)

          หลังจากที่ใช้คำพูด และเหตุผลในการโน้มน้าวฟิรอูนแล้วไม่ได้ผล มูซาจึงเปลี่ยนไปใช้มัวะอฺญิซาตแทน มูซากล่าวแก่ฟิรอูนว่า :

           แม้ว่าฉันจะนำสิ่งที่ชัดแจ้งมายังท่านกระนั้นหรือ
          (อัชชุอะรออฺ 26:30)

ฟิรอูนกล่าวว่า :

          ก็จงนำมันมาซิ หากเจ้าเป็นคนสัจจริง
          (อัชชุอะรออฺ 26:31)

          มูซาได้โยนไม้เท้าที่เขาใช้ลงไปบนพื้น มันได้กลายเป็นงูใหญ่ สร้างความหวาดกลัวแก่ทุกคน แม้กระทั่งฟิรอูนที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้ายังนั่งหดตัวด้วยความหวาดกลัวอยู่บนบัลลังก์ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หลักจากนั้นมูซาได้เข้าไปจับที่หัวของงูใหญ่ มันจึงกลับกลายเป็นไม้เท้าดังเดิม ก่อนที่ผู้คนที่อยู่ที่ท้องพระโรงจะได้สติจากความหวาดกลัวนั้น มูซาได้เอามือของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มือของเขาปรากฏเป็นรัศมีที่ขาวเปล่งแสงอันเจิดจ้าไปทั่วท้องพระโรง

          นาอาซียะห์เฝ้าติดตามดูเหตุการณ์อันน่าพิศวงนี้ แล้วนางก็ศรัทธาต่อมูซา และสิ่งที่เขานำมา นางไม่คิดว่าเขาจะโกหก เพราะมูซานั้นเป็นชายหนุ่มที่มีมารยาทดีงาม และมีลักษณะที่ประเสริฐ นางรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆกับการกลับมาอีกครั้งของมูซา หลังจากที่นางได้รอคอยมานานถึง 10 ปี

          ฟิรอูนปฏิเสธการศรัทธาต่อสิ่งที่มูซานำมา และยังแสดงอาการหยิ่งยโสในการที่จะยอมรับ และกล่าวหาว่ามั๊วะญิซาตที่อัลเลาะห์ ให้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมูซานั้น เป็นเพียงมายากลเท่านั้น เขาจึงได้ออกคำสั่งให้บริวารของเขาไปนำมาตัวนักมายากลมาทั้งหมด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด โดยให้พวกเขามาเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมมายากลของมูซาต่อหน้าสาธารณชน ฟิรอูนส่งคนไปตกลงกับมูซา เพื่อกำหนดวันที่จะมาเผชิญหน้ากับบรรดานักมายากล และมูซาได้เลือกวันอีด(เฉลิมฉลอง) ซึ่งเป็นวันที่ผู้คนจะมาชุมนุมกันอย่างมากมาย

          เมื่อวันอีดมาถึง มูซาได้พบว่า สถานที่นั้นเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ออกมารอชมการประลองระหว่างมูซากับนักมายากล บรรดานักมายากลเหล่านั้นยืนเรียงรายกันเป็นแถว ในมือของพวกเขาถือเชือกและไม้เท้า ท่าทางและเครื่องแต่งกายของพวกเขาดูน่าเกรงขาม หัวหน้าของพวกเขาได้เดินตรงเข้ามาหามูซา และพูดขึ้นว่า :

          โอ้มูซา ท่านจะโยนก่อน หรือพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน
          (อัลอะอฺรอฟ 7 : 115)

มูซาได้กล่าวว่า :

          จงโยนสิ สิ่งที่พวกท่านจะต้องโยน
          (อัชชุอะรออฺ 26:43)

          บรรดานักมายากลได้ก้ามออกมาและโยนเชือกกับไม้เท้าลงบนพื้น มันกลายเป็นงูเต็มไปหมด สร้างภาพลวงตาแก่ผู้คนว่ามันเคลื่อนไหวได้ เมื่อมูซาเห็นดังนั้นก็รู้สึกกลัว ดังนั้นอัลเลาะห์จึงทำให้เขารู้สึกมั่นคง เขาได้ยินเสียงเรียกว่า :

          เจ้าอย่ากลัว แท้จริงเจ้าอยู่ในสภาพที่เหนือกว่า และเจ้าจงโยนสิ่งที่อยู่ในมือขวาของเจ้า มันจะกลืนกินสิ่งที่พวกเขาทำขึ้น แท้จริงสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นนั้นเป็นแผนของนักมายากล และนักมายากลนั้นจะไม่ประสบกับความสำเร็จไม่ว่าเขาจะมาจากทางไหนก็ตาม
          (ตอฮา 20 : 68-69)

          มูซาจึงโยนไม้เท้าของเขาออกไป มันได้กลายเป็นงูใหญ่ที่น่าหวาดกลัว มันเลื้อยเข้าไปหางูของบรรดานักมายากล และกินงูเหล่านั้นทีละตัวทีละตัว ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ และสร้างความตกใจให้แก่นักมายากล ซึ่งรู้ดีว่า พวกเขากำลังเผชิญกับมัวะอฺญิซาตแห่งพระผู้เป็นเจ้า มันไม่ใช่มายากลที่หลอกลวง ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงก้มลงสุญูดต่ออัลเลาะห์ และกล่าวว่า :

           พวกเราได้ศรัทธาแล้วต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก คือพระเจ้าของมูซา และฮารูน
           (อัลอะอฺรอฟ 7 : 121-122)

          ฟิรอูนและเหล่าบริวารของเขาตกตะลึง พูดไม่ออก ขณะที่เห็นการสุญูดของบรรดานักมายากล และการประกาศเข้ารับอิสลามกับมูซาและฮารูน ฟิรอูนจึงตะโกนใส่นักมายากลว่า :

         พวกท่านศรัทธาต่อเขา ก่อนที่ฉันจะอนุญาตให้แก่พวกท่านกระนั้นหรือ แท้จริงเขาต้องเป็นหัวหน้าของพวกท่าน ซึ่งได้สอนวิชามายากลแก่พวกท่าน
           (ตอฮา 20 : 71)

          และได้ขู่พวกเขาว่าจะโดนลงโทษอย่างหนัก จะตัดมือตัดเท้าพวกเขา และจะจับตรึงที่ต้นอินทผลัม แต่บรรดานักมายากลไม่สนใจในคำขู่ของฟิรอูน หลังจากที่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการศรัทธา และรู้สึกถึงความหอมหวานของการศรัทธา

เขาเหล่านั้นได้กล่าวแก่ฟิรอูนว่า :

         เราจะไม่ฝักใฝ่ท่านมากกว่าหลักฐานที่ชัดแจ้งที่มายังเรา ขอสาบานต่อพระผู้ทรงบังเกิดเรา ท่านจงกระทำตามสิ่งที่ท่านต้องการจะกระทำเถิด แท้จริงท่านจะกระทำได้ในชีวิตแห่งโลกนี้เท่านั้น แท้จริงเราได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ พระเจ้าของเรา เพื่อพระองค์จะทรงอภัยสิ่งที่ท่านได้บังคับให้เรากระทำเกี่ยวกับเรื่องมายากล และอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นผู้ที่ดีเลิศยิ่ง และทรงยั่งยืนตลอดไป
          (ตอฮา 20 : 72-73)

          ฟิรอูนได้ทำตามคำขู่ของเขา และนำนักมายากลเหล่านั้นไปสังหาร เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นๆต่อไป แต่ทว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้ความจริงแล้วว่า การที่ฟิรอูนอ้างตัวเป็นพระเจ้านั้น เป็นเรื่องที่หลอกลวง โดยเขาโกหกผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า

           นางอาซียะห์ได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่หัวใจของเขานั้นเอนเอียงไปยังมูซา และเมื่อบรรดานักมายากลได้ก้มลงสุญูดและประกาศว่า พวกเขาศรัทธาต่ออัลเลาะห์ นางได้กล่าวขึ้นว่า :

          ฉันขอศรัทธาต่อพระเจ้าของมูซา และฮารูน

          เมื่อฟิรอูนรู้ว่านางอาซียะห์ภรรยาของเขาศรัทธาต่อพระเจ้าของมูซา เขาเกือบจะบ้าคลั่ง เขาจะทำอย่างไรกับนางดี นางถือเป็นคนที่ใกล้ชิดมากที่สุด แต่ยังกล้าขัดคำสั่งของเขา ฟิรอูนจึงสั่งให้บรรดาข้าหลวงมาชุมนุมกัน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องของนาง เขาได้กล่าวกับบรรดาข้าหลวงว่า :

          พวกท่านคิดอย่างไรกับนางอาซียะห์ภรรยาของข้า ?

บรรดาข้าหลวงตอบว่า :

          นางเป็นหญิงที่ดีเลิศ เป็นหญิงที่มีสติปัญญา และมีความรอบรู้

ฟิรอูนจึงกล่าวว่า :

          แล้วพวกท่านจะว่าอย่างไร เมื่อรู้ว่านางเคารพผู้อื่นนอกจากเรา?

เขาเหล่านั้นตอบว่า :

          ท่านจงสังหารและกำจัดนางเสียเถิด

          หลังจากนั้นฟิรอูนจึงสั่งให้มัดมือมัดเท้าของนางอาซียะห์ และให้นำก้อนหินก้อนใหญ่มาวางทับบนหน้าอกของนาง และได้บอกกับคนที่ทำการทรมานว่า :

          หากนางยอมละทิ้งศาสนาใหม่ของนาง ก็จงปล่อยนางเสีย

          เวลาผ่านไปหลายวัน จนวันหนึ่งที่มูซาได้ผ่านไปพบนางในสภาพเช่นนั้น และเห็นว่านางกำลังได้รับความเจ็บปวดอย่างมากจากการถูกทรมาน นางได้ส่งสัญญาณให้เขาได้รู้ถึงความเจ็บปวดที่นางได้รับอันเกิดจากน้ำมือของบริวารฟิรอูน มูซาจึงได้ขอดุอาอฺต่ออัลเลาะห์ให้พระองค์ทรงบรรเทาความเจ็บปวดแก่นาง อัลเลาะห์ได้ทรงตอบรับดุอาอฺของมูซา และได้ให้ความเจ็บปวดนั้นจางหายไปในที่สุด

          อัลเลาะห์ ได้ทรงตอบแทนการอดทนของนาง ด้วยการให้นางได้เห็นวังของนางในสวนสวรรค์ นางได้กล่าวแก่ผู้ที่ทรมานนางว่า :

          เจ้าทั้งหลายจงทำตามสิ่งที่ท่านต้องการเถอะ เพราะแท้จริงฉันได้เห็นวังของฉันในสวรรค์แล้ว

          และนางก็ยังคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งจากโลกดุนยาไป และอัลเลาะห์ ได้ทรงตอบรับดุอาอฺของนางที่นางได้กล่าวว่า :

        ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสร้างบ้านหลังหนึ่งให้แก่ข้าพระองค์ ณ ที่พระองค์ท่านในสวนสวรรค์ และจงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากฟิรอูน และการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากหมู่ชนผู้อธรรม
(อัตตะห์รีม 66 : 11)

วัสสลาม


โดย : ลัสนา


เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์

Click<<<   ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม 2