อัล อะกีดะฮ์ การศรัทธาต่ออัลลอฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  82620

การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา

          การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ   ประกอบด้วยหลัก 4 ประการ

ประการแรก
          การศรัทธามั่นในการมีอยู่ของอัลลอฮฺ    และบรรดาสิ่งที่ทำให้เชื่อมั่นถึงการมีอยู่ คือ ธรรมชาติ ความคิด กฎหมายชะรีอะฮฺ(บัญญัติศาสนา)   และความรู้สึกหรือประสาทสัมผัสทั้งห้า

1. ธรรมชาติที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระองค์

          คือ สรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกกำหนดให้ศรัทธาต่อพระผู้สร้าง โดยปราศจากการนึกคิด หรือเรียนรู้มาก่อน และจะไม่บ่ายเบียงออกจากธรรมชาติดังกล่าว นอกจากจะมีผู้รบเร้าจิตใจให้ออกห่าง ดังท่านนบี   ได้กล่าวว่า
 
ما من مولود يولد على الفطرة ، فأبواه يهودانه أو ينصرانه أو يمجسانه ) رواه البخاري )

 “เด็กทุกคนย่อมเกิดมาบนธรรมชาติ (ที่บริสุทธิ์) แล้วบิดามารดาของเขาได้ทำให้เขาเป็นยิว หรือ คริสต์หรือผู้บูชาไฟ”        รายงานโดยท่านอิมามบุคอรี
           

2. ความคิด ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ  

          เพราะสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายจะกำเนิดเกิดขึ้นไม่ได้โดยปราศจากผู้สร้าง เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองโดยบังเอิญไม่ได้ นอกจากต้องมีผู้สร้าง  และก่อนการมีอยู่คือการไม่มีอยู่  ดังนั้นจะมีอยู่ได้อย่างไร? ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีผู้ทำให้เกิด การมีอยู่ของระบบจักรวาลที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นรวมกันอย่างเป็นระบบระเบียบ   มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น ระหว่างเหตุและผลของการมีอยู่และผู้สร้างของมัน ทำให้เรากล่าวไม่ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การมีอยู่เองตามธรรมชาติจะมีอยู่อย่างเป็นระบบเช่นนี้ได้อย่างไร?  สภาพการคงอยู่ การพัฒนาระบบต่างๆ เมื่อสิ่งถูกสร้างไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวของมันเอง และไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ ฉะนั้นเป็นที่แน่ชัดว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องมีผู้สร้าง ผู้กำหนดมันขึ้นมาอย่างแน่นอน นั่นคือ พระองค์อัลลอฮฺ  ผู้อภิบาลแห่งสากลจัรวาล                   
อัลลอฮฺ   ได้ทรงกล่าวถึงหลักฐานทางปัญญา ข้อพิสูจน์ที่เด็ดขาดในสูเราะห์อัฎ-ฎูรฺ ดังพระองค์ทรงตรัสว่า
                  
“หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิดด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตัวเอง”           (อัฏฏูร 35)

นั่นหมายถึง พวกเขาจะเกิดขึ้นมาเองโดยปราศจากผู้บังเกิดไม่ได้  และจะให้กำเนิดตัวของพวกเขาเองก็ไม่ได้ ดังนั้นเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระองค์ คือ ผู้สร้างที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้เมื่อท่านญุบีรฺ บิน มัฏอิม ได้ยินท่านรสูล   อ่านสูเราะห์อัฎ-ฎูรฺ ถึงโองการนี้ 
                 
“หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้บังเกิดตัวเอง  หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้   เปล่าเลย  เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก   หรือว่าพวกเขามีขุมทรัพย์แห่งพระเจ้าของเจ้า  หรือว่าพวกเขาเป็นผู้มีอำนาจจัดการ”    อัฏฏูร  35 – 37
              

ซึ่งในขณะนั้นท่านญุบิรฺ รฎิฯ ยังเป็นมุชริก ผู้เคารพบูชาเจว็ดอยู่  ท่านได้กล่าวว่า

كاد قلبي أن يطير ، وذلك أول ما وقر الإيمان في قلبي )) رواه البخاري))
 
“หัวใจของฉันเกือบจะโบยบิน  และนั้นเป็นครั้งแรกที่การศรัทธาได้เกิดขึ้นอย่างแน่วแน่ในหัวใจฉัน”           รายงานโดยท่านอิมามบุคอรี

          ขอยกตัวอย่างเพื่อความชัดเจนดังนี้ ถ้าหากมีชายคนหนึ่งเล่าให้ท่านทราบถึงคฤหาสน์อันสูงใหญ่  ตั้งผงาดงามตระการตาล้อมรอบไปด้วยสวนหมากรากไม้อันงดงาม  มีลำธารน้ำไหลผ่าน เต็มไปด้วยเตียงนอน หมอนมุ้งประดับประดาด้วยเครื่องประดับ เครี่องอำนวยความสะดวกอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วเขากล่าวว่าแน่แท้คฤหาสน์หลังนี้ และทุกสิ่งที่มีอยู่ในนั้นเกิดขึ้นมาเองหรือเป็นมาโดยบังเอิญ แน่แท้ท่านจะต้องปฏิเสธโดยทันควัน ว่าคำพูดของเขาโกหก แล้วจะใช้ได้หรือหากจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ฟากฟ้าและแผ่นดิน ความงดงามของดวงดาวนานาชนิด ระบบสร้างสรรค์อันวิจิตร เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยบังเอิญ ปราศจากผู้สร้าง?

3. หลักฐานจากชารีอะห์

          บทบัญญัติที่แสดงถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ   เนื่องจากบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานมาก่อนหน้านี้ทุกเล่มได้กล่าวไว้ และบทบัญญัติที่ประกอบด้วยผลประโยชน์ของปวงบ่าว เป็นเครื่องบ่งบอกชี้ชัดว่ามาจากพระผู้อภิบาล  ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้ต่อคุณประโยชน์ของบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และสิ่งบอกเล่าที่ได้ถูกประทานมาในคัมภีร์นั้น  เป็นประจักษ์พยานหลักฐานต่อความจริงซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า มาจากองค์พระผู้อภิบาล ผู้ทรงอานุภาพยิ่งต่อการสร้างที่ดีเลิศ

4. หลักฐานด้านความรู้สึกสัมผัส แบ่งออกเป็นสองประการ       

4.1 เราได้ทราบ ได้ยิน ได้เห็นจากการตอบสนองของอัลลอฮฺ   แก่ผู้ร้องขอ ผู้เปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ผู้เศร้าโศกเสียใจ และหลักฐานเด็ดขาดของการมีอยู่ของอัลลอฮฺ    ดังพระดำรัสที่ว่า
                 
“ และจงรำลึกถึงเรื่องราวของนูหฺ เมื่อเขาได้ร้องเรียน(ต่ออัลลอฮฺ)ก่อนหน้านั้น แล้วเราได้ตอบรับการร้องเรียกแก่เขาและเราได้ช่วยให้เขาและพรรคพวกของเขา รอดพ้นจากความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวง”   (อัล อัมบิยาอฺ  76)

“ จงรำลึก  ขณะที่พวกเจ้าขอความช่วยเหลือยามคับขันต่อพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า แล้วพระองค์ได้ทรงรับสนองแก่พวกเจ้าว่า แท้จริงข้าจะช่วยพวกเจ้า.....”                                   (อัล อันฟาล  9)
      
จากรายงานในศอหิหฺบุคอรีโดยท่านอนัส บินมาลิก กล่าวว่าท่านนบี   ได้กล่าวว่า


إن أعرابيا دخل يوم الجمعة والنبي صلى الله عليه وسلم يخطب – فقال يا رسول الله – هلك المال ، وجاع العيال ، فادع الله لنا ، فرفع يديه ودعا فثار السحاب أمثال الجبال فلم ينزل عن منبره حتى رأيت المطر يتحادر على لحيته . – وفي الجمعة الثانية قام الأعرابي أوغيره فقال : يا رسول الله – تهدم البناء ، وغرق المال ، فادع الله لنا ، فرفع يديه

“ได้มีชาวอรับชนบทคนหนึ่งเข้ามาในมัสยิด ขณะที่ท่านนบีศ็อลฯ กำลังคุฏบะฮฺอยู่  เขาได้กล่าวแก่ท่านว่า โอ้ท่านรสูลุลลออฺ  เงินทองสูญสิ้น ลูกหลานหิวกระหาย   จงขอต่ออัลลอฮฺให้แก่เราด้วยเถอะ ท่านนบีจึงได้ยกมือขึ้นขอ  ทันใดนั้นก้อนเมฆได้ครึ้มตัวลงปกคลุมทั่วภูผาหินท่านนบีศ้อลยังไม่ทันลงจากมิมบัรฺ   ฉันก็เห็นฝนเทลงมาบนเคราของท่าน และในวันศุกร์ถัดมาได้มีชายชนบทหรือคนอื่นจากเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรสูลลุลอฮฺ     ตึกรามบ้านช่องพังทลายทรัพย์สินจมสิ้น   ท่านจงขอต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาให้แก่พวกเราด้วยเถอะ ท่านจึงได้ยกมือขึ้นและกล่าวว่า”

(( وقال : (( اللهم حوالينا و لا علينا ، فما يشير إلى ناحية إلا انفجرت

“ โอ้อัลลอฮฺ โปรดทรงให้ผ่านพ้นไปจากเรา และโปรดอย่าให้ตกบนเรา”

ท่านนบี   มิทันจะชี้ไปยังด้านหนึ่ง เมฆฝนได้กระจัดกระจายหมดไป คำตอบสนองของบรรดาผู้วิงวอนขอ ยังคงเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดเห็นตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ สำหรับผู้ขอที่พึ่งจากอัลลอฮฺ   ด้วยความสัตย์จริง


4.2 สัญญาณต่างๆของบรรดาศาสดาผู้นำสารทั้งหลายที่เรียกว่า มุอฺญิซาต ปาฎิหาริย์ซึ่งผู้คนได้ยินได้เห็น เป็นพยานหลักฐานเด็ดขาดว่าต้องมีผู้กำหนดให้มีขึ้น นั่นคือ พระองค์ อัลลอฮฺ   เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของมนุษย์  ทั้งนี้พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือแก่บรรดาศาสนทูตของพระองค์ หนึ่งในสัญญาณต่างๆของท่านนบี มูสา(โมเสส) ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน ขณะเมื่อ พระองค์ทรงสั่งใช้ให้ท่านฟาดทะเลด้วยไม้เท้า  เมื่อท่านได้ฟาดมันทันใดนั้น  น้ำก็แห้งเหือดลง แยกออกเป็นสิบสองทางและน้ำทั้งสองข้างเปรียบเสมือนภูเขามหึมา  อัลลอฮฺ   ทรงตรัสว่า
              
“ดังนั้น เราจึงได้วะฮียฺแก่มูสาว่า  จงฟาดทะเลด้วยไม้ถือของเจ้า  ทันใดนั้นมันก็แยกออก  แล้วแต่ละข้างเป็นเช่นภูเขาใหญ่”     (อัช ชุออรอ 63)
                                           
สัญญาณของท่านนบีอีซา (เยซูคริสต์) ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านซึ่งท่านได้ชุบชีวิตให้คนตายฟื้นคืนชีพ ออกจากที่ฝังศพด้วยพระประสงค์และอนุมัติของอัลลอฮฺ   ดังที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
       
“.....และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้ว มีชีวิตขึ้น ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ.....”  (อาละ อิมรอน  49)

“.....และขณะที่เจ้าทำให้บรรดาคนตาย(ฟื้น)ออกมาด้วยอนุมัติของข้า.....”                 (อัล มาอิดะฮ   110)

สัญญาณที่เกิดขึ้นแก่ท่านนบีมุฮัมมัด   เมื่อชาวกุเรชขอให้ท่านแสดงสัญญาณ ท่านจึงได้ชี้ไปยังดวงจันทร์ทันใดนั้นมันได้แยกออกเป็นสองส่วน ให้พวกเขาได้เห็น  ดังอัลลอฮฺ   ทรงตรัสว่า 

“วันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ(ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว”                                               (อัล กอมัร 1-2)
      
จากสัญญาณต่างๆที่สัมผัสได้ ที่พระองค์อัลลอฮฺ   ทรงแสดงให้เห็นถึงการสนันสนุนช่วยเหลือแก่บรรดารสูลของพระองค์ ได้เป็นที่ประจักษ์ชี้ชัดอย่างเด็ดขาดถึงการมีอยู่ของพระองค์

ประการที่สอง
          การศรัทธาต่อการเป็นผู้อภิบาลของอัลลอฮฺ    อัรรุบู บียะฮฺ คือพระองค์เป็นพระผู้ทรงอภิบาล ไม่มีหุ้นส่วนใดๆปราศจากผู้ช่วยเหลือ ไม่มีเจ้าผู้ครอบครองอื่นใดนอกจากพระองค์   ไม่มีกิจการใดๆนอกจากเป็นของพระองค์  ดังพระดำรัสที่ว่า  

            
“ .....พึงรู้เถิดว่าการสร้างและกิจการทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์ อัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”    (อัล อะรอฟ 54)

“.....นั่นคือ อัลลอฮฺ  พระเจ้าของพวกเจ้า อำนาจการปกครองทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และสิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้น พวกมันมิได้ครอบครองสิ่งใด แม้แต่เยื่อบางหุ้มเมล็ดอินทผลัม”  (ฟาฏิร  13)    

                                                          
เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าในบรรดาสิ่งถูกสร้างต่างๆ ผู้ใดปฏิเสธต่อการเป็นเจ้าของอัลลอฮฺ   เขาคือผู้หยิ่งจองหอง เป็นผู้กลับกลอกไม่มีความแน่นอนในคำพูด เช่นเดียวกับฟิรอาวน์ขณะที่เขากล่าวแก่ไพร่พลของเขา

فحشر فنادى فقال أناربكم الأعلى النازعات: -٢٤

“แล้วเขาได้เรียกชุมนุม แล้วประกาศออกไป แล้วกล่าวว่า ฉันคือพระเจ้าสูงสุดของพวกท่าน”              (อัลนาซิอาต  23 - 24)
      
“และฟิรอาวน์กล่าวว่า โอ้ ปวงบริพารเอ๋ย ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉัน.....”        (อัล กอศ็อด 38) 
            
แต่นั่นไม่เกี่ยวข้องกับอะกีดะฮฺ  พระองค์ทรงตรัสว่า 
    
“ และพวกเขาได้ปฏิเสธมันอย่างอยุติธรรม และเย่อหยิ่งทั้งๆที่จิตใจของพวกเขาเชื่อมั่น ดังนั้นจงดูเถิดว่า บั้นปลายของบรรดาผู้บ่อนทำลายนั้นจะเป็นเช่นไร”     (อัลนัมล 14)
                                                  
ท่านนบีมูสาอลัย ฮิสสลาม ได้กล่าวแก่ฟิรอาวน์ ดังที่อัลลออฺ   ได้ทรงตรัสไว้ว่า
 
“เขากล่าวว่า โดยแน่นอนท่าน(ฟิรอาวน์)ย่อมรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดประทานสิ่งเหล่านี้ นอกจากพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เพื่อเป็นพยาน และแท้จริงฉันคิดว่าแน่นอนท่าน โอ้ ฟิรฺอาวน์เอ๋ย  เป็นผู้หายนะแล้ว”                 (อัล อิสรอ  102)

ด้วยเหตุนี้บรรดามุชริกีน ผู้บูชาเจว็ด ได้ยืนยันถึงการเป็นพระผู้ทรงอภิบาลบริหารของอัลลอฮฺ   แต่ทว่าพวกเขาได้ตั้งภาคีให้แก่พระองค์ในการเป็น พระผู้เป็นเจ้า    ดังอัลลอฮฺ   ทรงตรัสว่า              

“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แผ่นดินนี้ และผู้ที่อยู่ในนั้นเป็นของใคร   (จงบอกเถิด)ถ้าพวกท่านรู้ พวกเขาจะกล่าวว่ามันเป็นของอัลลอฮฺ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ถ้าเช่นนั้นพวกท่าน ยังไม่พิจารณาใคร่ครวญอีกหรือ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเป็นจ้าของชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และเป็นผู้สร้างบัลลังค์อันยิ่งใหญ่”     (อัล มุอมินูน 84 – 86)                                            
                
“ และหากเจ้าถามพวกเขา ใครเล่าเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้  แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า  พระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้ ทรงสร้างมันเหล่านั้น”      (อัล ซุครุฟ 9)
                
“และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า   ใครเป็นผู้สร้างพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮฺ  แล้วทำไมเล่าพวกเขาจึงหันเหออกไปทางอื่น”      (อัล ซุครุฟ 87)  
                
อัลลอฮฺ   ทรงบัญชาอย่างสมบูรณ์ในเรื่องของจักรวาลและบทบัญญัติชะรีอะฮฺ โดยพระองค์เป็นผู้บริหารกิจการในสากลจักวาล เป็นผู้ชี้ขาดในกิจการทั้งปวงตามพระประสงค์ และพระปรีชาญานแห่งพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงตัดสิน ผู้ทรงกำหนดกฎหมายอันเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺ(การทำความภักดี) อะหฺกาม (กฎบทบัญญัติ) และ มุอามะลาต (บทที่ว่าด้วยการเชื่อมสัมพันธ์) ฉะนั้นผู้ใดยึดถือเอาบทบัญญัติหรือผู้ตัดสินชี้ขาดอื่นจากอัลลอฮฺ   ในเรื่องดังกล่าวถือว่าเขาได้ตั้งภาคีให้แก่อัลลอฮฺ   การศรัทธาของเขาไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้

ประการที่สาม
การศรัทธาต่อการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮฺ   นั่นคือพระองค์เท่านั้นเป็นเจ้าที่แท้จริง  ไม่มีภาคี หุ้นส่วนใดๆสำหรับพระองค์   คำว่า อิลาฮฺ หมายถึงผู้ที่ถูกยกย่องนับถือ ผู้ที่ถูกเคารพบูชา
อัลลอฮฺ   ทรงตรัสไว้ว่า

“และผู้ที่ควรเคารพสักการะของพวกเจ้านั้น มีเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ควรแก่การเคารพสักการะใดๆ นอกจากพระองค์  ผู้ทรงกรุณาปรานี   ผู้ทรงเมตตาเสมอ”   (อัลบะเกาะเราะฮ  163)
              
“อัลลอฮฺทรงยืนยันว่า  แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รักการเคารพสักการะใดๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และมลาอิกะฮฺ และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น ก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รักการเคารพสักการะใดๆ นอกจากพระองค์  ผู้ทรงเดชานุภาพ  ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น” (อาลิ อิมรอน  18)
      
ทุกสรรพสิ่งที่ถูกยึดถือบูชาอื่นจากอัลลอฮฺ   นั้นถือเป็นเท็จ โมฆะ 
ดังอัลลอฮฺ ตะอาลาทรงตรัสว่า

“เช่นนั้นแหละ เพราะว่าอัลลอฮฺคือผู้ทรงสัจจะ  และแท้จริงสิ่งที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้นมันเป็นเท็จ และแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง”  (อัล ฮัจญ์ 62)          

ที่เรียกกันว่า “เจ้า” นั่นมิได้ถูกเคารพเยี่ยง “พระผู้เป็นเจ้า” ที่แท้จริง  ดังพระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับ ลาต  อุชชา  และ มะนาต ว่า
          
“ (เจว็ด)เหล่านี้มิใช่อื่นใด นอกจากเป็นชื่อที่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าตั้งมันขึ้นมาเอง อัลลอฮฺมิได้ทรงประทานหลักฐานอันใดลงมาเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย พวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากการคาดคะเน และสิ่งที่อารมณ์ปรารถนา และโดยแน่นอน แนวทางที่ถูกต้อง(ฮิดายะฮฺ) จากพระเจ้าของพวกเขาได้มีมายังพวกเขาแล้ว”                                    (อัล นัจมฺ 23)       

ทรงตรัสเกี่ยวกับท่านนบีฮูด อลัยฯ เมื่อท่านกล่าวกับชนของท่านว่า

“.....พวกท่านจะโต้เถียงฉันในบรรดาชื่อ ที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งมันขึ้นมาเอง โดยที่อัลลอฮฺมิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆ มาสำหรับเหล่านั้น กระนั้นหรือ.....”  (อัล อะอฺรอฟ  71)
        
อัลลอฮฺ   ทรงได้ตรัสเกี่ยวกับท่านนบียูซุฟ อลัยฯ ว่าท่านได้กล่าวกับบรรดานักโทษว่า

“โอ้ เพื่อนร่วมคุกทั้งสองของฉันเอ๋ย   พระเจ้าหลายองค์ดีกว่า หรือว่าอัลลอฮฺ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงอานุภาพ สิ่งที่พวกท่านเคารพภักดีอื่นจากพระองค์ มิใช่อื่นใดนอกจากบรรดาชื่อที่พวกท่าน และบรรพบุรุษของพวกท่านใช้เรียกมัน อัลลอฮฺ มิได้ทรงประทานหลักฐานใดในเรื่องนี้ลงมา.....”  (ยูซุฟ  39-40)
     
ด้วยเหตุผลดังกล่าวบรรดารสูล ของอัลลอฮฺ   ทรงประทานความสันติสุขแก่ท่าน ได้กล่าวกับบรรดากลุ่มชนของท่านว่า
      
“.....โอ้ ประชาชาติของฉันเอ๋ย  จงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด ไม่มีผู้ควรได้รับสักการะใดๆสำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นนอกจากพระองค์ แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน” (อัล อะอรอฟ 59)
         
แต่ทว่าบรรดามุชริกีน(ผู้บูชาเจว็ด) ได้ปฏิเสธท่านโดยยึดถือเจ้าจอมปลอม นอกจากอัลลอฮฺ   บูชาพร้อมๆไปกับการภักดีต่ออัลลอฮฺ   ขอความช่วยเหลือและขอให้ประสพชัยชนะจากบรรดารูปปั้น อัลลอฮฺ   ได้ทรงทำให้การยึดถือของพวกมุชริกีนเป็นโมฆะ ด้วยหลักฐานการยืนยันด้านสติปัญญา 2 ประการดังนี้

1. เจ้าจอมปลอมที่พวกเขายึดถือนั้น มิได้มีคุณลักษณะการเป็นเจ้าเลย เพราะมันถูกสร้างขึ้นมามิได้เป็นผู้สร้าง ไม่สามารถนำคุณและโทษมาให้ผู้กราบไหว้มันได้ ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากภยันตรายได้ มิได้เป็นผู้ทรงอภิสิทธ์ต่อชีวิตและความตายของพวกเขา และมิได้ทรงกรรมสิทธ์ใดๆในฟากฟ้าทั้งหลาย     อัลลอฮฺ   ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับพวกนี้ว่า
         
“ พวกเขาได้เคารพบูชาพระเจ้าอื่นๆ จากพระองค์ โดยที่พระเจ้าเหล่านั้นมิได้สร้างสิ่งใด และทั้งที่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมา และพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่ตัวเองได้   และพวกเขาไม่มีอำนาจควบคุมความตาย และความเป็น และการฟื้นคืนชีพ”                         (อัล ฟุรกอน  3)

“ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาที่พวกท่านจินตนาการ (ว่าเป็นพระเจ้า) อื่นจากอัลลอฮฺ พวกมันมิได้ครอบครอง แม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพวกมัน(เจว็ด) มิได้มีหุ้นส่วนในทั้งสองนั้น และสำหรับพระองค์นั้นมิได้มีผู้ช่วยเหลือ จากพวกมัน (เจว็ด) การชะฟาอะฮฺ(ไถ่แทน)ใดๆ จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ณ ที่พระองค์ นอกจาก ผู้ที่พระองค์ทรงอนุญาตแก่เขา.....”                  (สะบะอ 22 – 23)
        
“ พวกเขา(มุชริก)จะให้สิ่งที่ไม่บังเกิดอันใด มีหุ้นส่วน(กับพระองค์) ทั้งๆที่พวกมันถูกบังเกิดขึ้น กระนั้นหรือ และพวกมัน(เจว็ด) ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆแก่พวกเขา และทั้งไม่สามารถให้ความช่วยเหลือตัวของพวกมันเองด้วย”                                                    อัล อะอรอฟ  191 -192
        
นี่คือสภาพของเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย  ดังนั้นการยึดถือมันเป็นเจ้า จึงเป็นที่น่าอนาถใจ และน่าสมเพชยิ่งนัก !

2. บรรดามุชรีกีนได้เคยยืนยันว่าเฉพาะอัลลอฮฺ    เท่านั้นทรงเป็นพระผู้อภิบาล ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงอำนาจทุกสรรพสิ่ง ผู้ทรงปกป้องคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำต้องเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ   พระผู้อภิบาลองค์เดียวเท่านั้น    พระองค์ทรงตรัสว่า
       
“ มนุษย์เอ๋ย  จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า  ผู้ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาผู้มาก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง  คือผู้ทรงให้แผ่นดินเป็นที่นอน และชั้นฟ้าเป็นหลังคาแก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงจากฟากฟ้า และได้ทรงให้บรรดาผลไม้ออกมา เนื่องด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าให้มีผู้เท่าเทียมใดๆขึ้น ต่ออัลลอฮฺ โดยที่พวกเจ้าก็รู้อยู่”         (อัล บะเกาะเราะฮ 21 – 22)         
       
“ และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า ใครเป็นผู้สร้างพวกเขา  แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮฺ แล้วทำไมเล่า พวกเขาจึงได้หันเหไปทางอื่น”      (อัซ ซุครุฟ 87) 
 
“ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมองเห็น และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังการตาย  และเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิต  และใครเป็นผู้บริหารกิจการ แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า อัลลอฮฺ ดังนั้นจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจึงไม่ยำเกรงอีกหรือ”                     (ยูนุส  31)

ประการที่สี่
การศรัทธาในพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ   คือการยืนยันต่อสิ่งที่พระองค์ทรงกล่าวถึงพระองค์เองในคัมภีร์ของพระองค์ และที่ปรากฏในฮาดีษ พระวจนะของท่านศาสดาเกี่ยวกับพระนามและคุณลักษณะโดยปราศจากการ ตัชบีฮฺ ตัมฮฺซีล ตะฮฺรีฟ  ตักยีฟ และ ตะอฺตีล 
พระองค์ทรงตรัสว่า          

“และของอัลลอฮฺ นั้นมีบรรดาพระนาม(ลักษณะคุณ) อันสวยงามยิ่ง  ดั้งนั้นพวกเจ้าจงเรียกหา พระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้นเถิด และจงปล่อยบรรดาผู้ที่ทำให้เฉ ในบรรดาพระนามของพระองค์เถิด     ในไม่ช้าพวกเขาจะถูกตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ”      (อัล อะอรอฟ 180)      
     
“.....และคุณลักษณะอันสูงส่ง ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เป็นกรรมสิทธิ์ ของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ  ผู้ทรงปรีชาญาณ”     (อัรรูม 27)
         
“.....ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์  และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น”   (อัชชูรอ  11)

ดังกล่าวมานี้ได้มีสองกลุ่มที่หลงผิดในเรื่องนี้ คือ


(๑) กลุ่มที่เรียกว่า อัลมุอัฎฎอละฮฺ

          ซึ่งปฏิเสธพระนามและคุณลักษณะทั้งหมดหรือบางส่วน โดยกล่าวอ้างว่าการยืนยันต่ออัลลอฮฺ   นั้นจำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบ นั่นคือเปรียบเทียบอัลลอฮฺ   กับสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ การอ้างเช่นนี้ไม่เป็นที่รับรอง   ด้วยเหตุผลสองประการดังนี้          

๑.๑ การขัดแย้งกันระหว่างพระดำรัสของอัลลอฮฺ   เนื่องจากพระองค์ทรงระบุยืนยัน ถึงพระนามอันวิจิตรและคุณลักษณะของพระองค์ ทรงปฏิเสธที่จะให้สิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์  และหากว่าการยืนยันเช่นนี้ จำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จต่อพระดำรัสของพระองค์บางส่วนได้           

๑.๒ ไม่ต้องมีการเห็นพ้องกันหรือเสมอเหมือนในระหว่างสองสิ่งคือในพระนามและคุณลักษณะ เช่นเดียวกับที่ท่านเห็นมนุษย์สองคน สามารถได้ยิน มองเห็น พูดจาปราศรัย แต่ไม่ต้องมีความละม้ายคล้ายคลึงกันในความหมายของมนุษย์ชาติทั้งมวล  ในขณะที่ท่านเห็นสัตว์ มีมือ มีตีน มีตา แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเหมือนกัน ฉะนั้นความแตกต่างของผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้างย่อมมีความชัดเจนมากกว่า และยิ่งใหญ่กว่ากันมาก

(๒) กลุ่มที่เรียกว่า อัล มุชับบิฮะฮฺ

         พวกนี้ได้กล่าวยืนยันถึงพระนามและคุณลักษณะ โดยทำการเปรียบเทียบอัลออฮฺ   กับสรรพสิ่งถูกสร้างโดยการอ้างว่ามีหลักฐานในตัวบทจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน เนื่องจากพระองค์ทรงตรัสต่อปวงบ่าวในสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายเข้าใจ การกล่าวอ้างเช่นนี้ถือเป็นโมฆะเช่นกัน จากเหตุผลที่ว่า       

๒.๑ การเปรียบเทียบอัลลอฮฺ   กับสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เป็นเรื่องที่สติปัญญาและบทบัญญัติทางศาสนาปฏิเสธไม่ยอมรับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า ข้อกำหนดของตัวบทพระคัมภีร์อัลกุรอานและสุนนะห์เป็นที่ยกเลิก       

๒.๒ อัลลอฮฺ   ทรงตรัสแก่ปวงบ่าวในสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้บนพื้นฐานของความหมาย ส่วนข้อเท็จจริงของความหมายเป็นอย่างไรนั้น  อัลลอฮฺ   เท่านั้นทรงรอบรู้ด้วยพระองค์เอง ในสิ่งที่เกี่ยวกับอัตตะและคุณลักษณะของพระองค์ เมื่ออัลลอฮฺ   ทรงได้ยืนยันว่าทรงได้ยิน ฉะนั้นการได้ยินเป็นที่รู้และเข้าใจกันในความหมายของมัน คือการรับรู้และเข้าใจต่อเสียง แต่ข้อเท็จจริงของการได้ยินนั้นไม่เป็นที่รู้ แท้ที่จริงนั้นการได้ยินเป็นที่ประจักษ์เห็น แม้กระทั่งในในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และเป็นที่ประจักษ์ชัดระหว่างผู้สร้างกับสรรพสิ่งถูกสร้างนั้นย่อมชัดเจนกว่า และยิ่งใหญ่กว่านัก     

การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ   ดังที่ได้บอกคุณลักษณะไว้ข้างต้นจะส่งผลให้บรรดาผู้ศรัทธาได้รับบุญกุศลที่ดีงามมากมาย คือ


1. บรรลุถึงเอกภาพของอัลลอฮฺ   โดยไม่หวัง ไม่เกรงกลัว และไม่เคารพสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ 

2. แสดงออกซึ่งความรักที่มีต่ออัลลอฮฺ   อย่างสมบูรณ์แบบ ยกย่องสดุดีสรรเสริญพระองค์ อย่างสอดคลองกับพระนามอันวิจิตรและคุณลักษณะอันสูงส่ง

3.บรรลุสู่เป้าหมายของการภักดีต่ออัลลอฮฺ   ด้วยการกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาใช้ และหลีกห่างจากข้อห้ามทั้งหลาย

 อัลอะกีดะฮ์ มลาอิกะฮ์