หลักความศรัทธา
  จำนวนคนเข้าชม  12704

หลักความศรัทธา


“ อุปมาผู้ที่ยึดเอาอื่นจากอัลลอฮ์ เป็นผู้คุ้มครองดั่งแมงมุมที่ชักใยทำรัง และแท้จริงรังที่บอบบางที่สุดคือรังของแมงมุม หากพวกเขารู้ ”  (Al-Quran 29:41)


          มุสลิมนั้นจะเคารพนับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระองค์อัลลอฮ์     ผู้สร้างแผ่นฟ้าและจักรวาลภายใน 6 วัน ผู้ควบคุมการโคจรระบบจักรวาลและโลกใบนี้  ผู้สร้างมนุษย์และทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีใครเสมอเหมือน พระองค์ ผู้เป็นอมตะและยังพระองค์ทุกชีวิตคือการกลับไป เพื่อการพิพากษาและตัดสินในความดีและความชั่วที่ทุกคนได้ทำไว้บนโลกใบนี้ ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียวและชีวิตนี้คือการทดสอบ


“ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

“การสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ”

“ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

“ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทน”

(Al-Quran 1:1 - 4)


          พระองค์อัลลอฮ์   พระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ไม่มีการสร้างรูปปั้นที่เป็นตัวแทน ไม่มีรูปภาพ ไม่มีสัญลักษณ์ที่ใช้ห้อยคอ ไม่มีการสร้างพิมพ์หรือคำต่างๆ และนำมาแขวนไว้ในที่ต่างๆ เพื่อคิดว่าตนเองจะปลอดภัย พระองค์ผู้สร้างทุกสิ่งในจักรวาล พระองค์สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะสร้างสิ่งที่เป็นตัวแทน พระองค์อยู่ใกล้มนุษย์มากกว่าเส้นเลือดตามร่างกาย มุสลิมไม่ควรกระทำในสิ่งที่เป็นการลบหลู่และตั้งภาคีกับพระองค์ และสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงห้ามไว้ 


“เจ้าอย่าคิดว่าอัลลอฮ์ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกอธรรมปฏิบัติ แท้จริงพระองค์ทรงประวิงเวลาให้พวกเขา จนถึงวันที่สายตาเงยจ้องไม่กระพริบ (วันกิยามะฮ์)”(Al-Quran 14:42)


          มนุษย์สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์ได้ และมนุษย์ทุกคนอยู่ในสายตาของพระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงรอบรู้การกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจหรือเพียงแค่ความคิดทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด มุสลิมจะวิงวอนขอความช่วยเหลือยามประสบความทุกข์เดือดร้อนต่อพระองค์  พระองค์ จะให้ในสิ่งที่ขอต่อเมื่อได้พิจารณาถึงการทำความดีของมนุษย์ ความเคารพและความศรัทธาที่มอบให้ พระองค์จะตอบรับเร็วหรือช้ารับหรือไม่รับขึ้นอยู่กับความดีและความศรัทธาเท่านั้น ซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าพระองค์จะตอบรับหรือไม่และเมื่อไหร่  ฉะนั้นจงเร่งทำความดีเพื่อพระองค์เถิด


“ และเขาเหล่านั้นไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย ”  (Al-Quran 2:77)


          ความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์    นั้นสำคัญมากเป็นอันดับแรก เพราะความศรัทธานั้นจะทำให้สามารถปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ผู้ศรัทธาจะยอมรับในทุกข้อของหลักการทางศาสนา แม้ในจิตใจนั้นจะไม่ยอมรับโดยง่ายก็ตาม แต่เมื่อมีความศรัทธาแล้วทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับมุสลิมทุกคน


 “ เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮ์และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้นแต่พวกเขาไม่รู้สึก ”  (Al-Quran 2:9)


          ผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกคนมีหน้าที่เผยแพร่และให้ความรู้ด้านศาสนาอิสลาม เพราะมุสลิมทุกคนถือว่านี่คือหน้าที่และทำความดีเพื่อพระองค์ และเราจะรอคอยผลตอบแทนในโลกอาคิเราะมิใช่โลกดุนยา แต่พระองค์จะทรงตอบแทนบ่าวของพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


“และผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี (ในโลกนี้) และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ (ในโลกหน้า)” (Al-Quran 16:97)


หลักศรัทธาในศาสนาอิสลามมีด้วยกัน 6 ประการ


“เราะซูลนั้น(นะบีมุฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เขา จากพระเจ้าของเขา และมุมินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์(พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่าเราได้ยินแล้วและได้ปฎิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา โอ้พระเจ้าของพวกเรา ! และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป”  (Al-Quran 2:285)


1) ศรัทธาต่ออัลลอฮ์   ผู้ทรงเอกะ

          คือ ความศรัทธา ความเป็นเอกภาพ  และไม่นำสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮ์    พระองค์ ไม่มีภาคีร่วมใดๆ  ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้ที่จะถูกวิงวอน เคารพสักการะหรือแสดงความจงรักภักดี มีเพียงอัลลอฮ์   เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์เป็นผู้ที่พระนามต่างๆนั้นสูงส่งยิ่ง งดงาม สง่างาม และสมบูรณ์ด้วยพระองค์เอง


“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์” (Al-Quran 112:1-4)


          อาณาจักรความรู้ของพระองค์ครอบคลุมในทุกสิ่ง ทั้งสิ่งเร้นลับและสิ่งที่เปิดเผย  พระองค์เป็นผู้บริหารในทุกกิจการโดยไม่พึ่งพาสิ่งถูกสร้างใดๆ ทุกสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์ สิ่งใดที่พระองค์ทรงประสงค์ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น สิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์สิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพลังอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณี และทรงให้อภัยเสมอ มีคำกล่าวของท่านเราะซูล   ว่า


“ความรักความเมตตาของอัลลอฮ์มากยิ่งกว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกเสียอีก” (บันทึกโดย  มุสลิม)


2) การศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์


“ สำหรับเขามีมะลาอิกะฮ์เป็นผู้ติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา รักษาเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮ์”  (Al-Quran 13:11)


         มลาอิกะฮ์ ถูกสร้างจากรัศมี ไม่มีเพศ ไม่กิน ไม่ดื่มไม่ปฏิเสธการทำหน้าที่รับใช้ เป็นบ่าวที่ตอบสนองคำบัญชาของอัลลอฮ์   โดยเคร่งครัดครบถ้วนทุกประการ ปราศจากการขัดขืนดื้อดึง  มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ หากพระองค์ประสงค์มนุษย์จึงสามารถที่จะเห็นมลาอิกะฮ์ได้
 

“(ท่านหญิงอาอิชะกล่าวว่า) ท่านรอซูล ได้เห็นญิบรีลเป็นรูปร่างที่แท้จริงถึงสองครั้ง”(บันทึกโดย บุคอรีย์)


“จนเขาได้เข้ามาอยู่(ใกล้ชิดมุฮัมมัด)ในระยะเพียงเท่ากับสองข้างของคันศร หรือใกล้กว่านั้น และอัลลอฮ์ประทานอายะฮฺแก่บ่าวของพระองค์(มุฮัมมัด) โดยผ่านญิบรีล ในสิ่งที่พระองค์(ประสงค์จะ)ประทาน” ( Al-Quran 53:9-10)


          ท่านนะบีมุฮัมมัด   ได้เห็นมลาอิกะฮ์ในรูปร่างที่แท้จริง มีปีกถึง 600 ปีก และมีรัศมี มลาอิกะฮ์สามารถจำแลงรูปร่างเป็นมนุษย์ได้  มลาอิกะฮ์มีหน้าที่แตกต่างกัน มลาอิกะฮ์ผู้บันทึกความดีและความชั่ว  ผู้นำสาสน์ไปยังบรรดาเราะซูล  ผู้ปลิดวิญญาณคือมะลักแห่งความตาย ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับน้ำฝนคือมีกาอีล และอีกหลายหน้าที่ ไม่มีใครนอกจากพระองค์เท่านั้นที่รู้


“แท้จริงบรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมต่อตัวพวกเขาเองนั้น มลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่าพวกเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งใด พวกเขากล่าวว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอในแผ่นดิน มลาอิกะฮ์กล่าวว่า แผ่นดินของอัลลอฮ์มิได้กว้างขวางดอกหรือที่พวกเจ้าจะอพยพไปอยู่ในส่วนนั้น ชนเหล่านี้แหละที่อยู่ของพวกเขาคือนรกญะฮันนัมและเป็นที่กลับไปอันชั่วร้าย” (Al-Quran 4:97)


          การศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์นั้นได้ส่งผลในการดำรงชีวิต เมื่อทราบว่ามีมลาอิกะฮ์คอยจดบันทึกความดีและความชั่วอยู่ตลอดเวลาทำให้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความสุขุม รอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อมิให้อยู่ในกลุ่มชนที่เป็นผู้ขาดทุน


“ใครที่เคยเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และเป็นศัตรูต่อญิบรีล และมีกาอีลนั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นศัตรูแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย” (Al-Quran 2:98)


3) ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมา


          การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์  ศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์   เนื้อหาในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นข้อความที่มาจากอัลลอฮ์ 


“และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าด้วยความจริง ในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่ก่อนหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์(เบื้องหน้า)นั้น  ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยเขาออกจากความจริงที่ได้มายังเจ้า สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้วแน่นนอนก็ทรงให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกันแต่ทว่าเพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขันกันในความดีทั้งหลายเถิด ยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังขัดแย้งกัน ในสิ่งนั้น”  (Al-Quran 5:48)


          อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มาจากฟากฟ้าเล่มสุดท้าย เป็นคัมภีร์ที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเป็นคำสั่งสอนแก่มวลมนุษย์  ทุกคนต้องศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติต่างๆในอัลกุรอานโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ อัลกุรอานเป็นทางนำที่เที่ยงตรง พระองค์อัลลอฮ์   จะปกปักษ์รักษาอัลกุรอานด้วยพระองค์เอง  อัลกุรอานจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขใดๆ


“แท้จริงเราได้ให้ขอตักเตือน(อัลกุรอาน)ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน”  (Al-Quran 15:9)


“ คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น ” (Al-Quran 2:2)


          ไม่ว่าจะพิมพ์ที่โรงพิมพ์ไหนตั้งอยู่ประเทศใดก็ตามถ้ามีการพิมพ์อักษรอาหรับในคัมภีร์อัลกุรอานผิดแม้เพียงตัวอักษรเดียวจะต้องเรียกเก็บคืนอัลกุรอานทั้งหมดเพื่อนำมาแก้ไข และถ้ามีการแปลความหมายในคัมภีร์อัลกุรอานผิดหรือบิดเบือนคัมภีร์ ผู้พิมพ์จะต้องรับผิดชอบโดยการเรียกคืนอัลกุรอานทั้งหมดเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเช่นกัน


“......และหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน และลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ และเจ้าก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขา นอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และจงเมินหน้าเสีย แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้ทำดีทั้งหลาย”   (Al-Quran 5:13)


4) ศรัทธาในบรรดานะบีและเราะซูล

 
          มุสลิมต้องศรัทธาต่อศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์  ทุกท่านที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานในฐานะผู้นำสาสน์จากอัลลอฮ์  เพื่อสั่งสอนตักเตือนมวลมนุษย์ชาติ  ท่านเราะซูลมุฮัมมัด    เป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายที่นำคำบัญญัติจากคัมภีร์อัลกุรอานมาเผยแพร่ เพื่อเป็นทางนำที่ถูกต้องแก่มนุษย์ชาติ


“แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฎิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และกล่าวว่าเราศรัทธาในบางคน และปฏิเสธศรัทธาในบางคน และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่ง ชนเหล่านั้นแหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย”  (Al-Quran 4:150-151)


          ต้องเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เป็นมัวะญิซาด(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ)ของบรรดานะบีที่อัลลอฮ์  ได้ประทานให้เป็นปฏิหาริย์ และอัลลอฮ์  ได้แสดงให้นะบีแต่ละท่านได้เห็นและเข้าใจ นี่คือบางส่วนของปฏิหาริย์ที่นำมาบอกกล่าว


          ท่านนะบีอิบรอฮิม อะลัยฮิสลาม ให้อัลลอฮ์  แสดงปฏิหารย์ว่าพระองค์จะทำให้คนตายแล้วฟื้นได้อย่างไร


“........พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเอานกมาสี่ตัวแล้วจงเลี้ยงมันให้คุ้นกับเจ้า แล้วตัดมันออกเป็นท่อนๆ ภายหลังเจ้าจงวางไว้บนภูเขาทุกลูก ซึ่งส่วนหนึ่งจากนกเหล่านั้นแล้วจงเรียกมัน มันก็จะมายังเจ้าโดยรีบเร่ง และพึงรู้ไว้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (Al-Quran 2:260)


          ปฏิหารย์ท่านนะบีมูซา อะลัยฮิสลาม คือการแยกทะเลให้วงค์วานอิสรออิลข้ามเพื่อหนีการตามฆ่าของฟิรเอาวน์


“จงรำลึกขณะที่เราได้แยกทะเลออกเพราะพวกเจ้า แล้วเราได้ช่วยให้พวกเจ้าได้รอดพ้น และได้ให้พวกฟิรเอาวน์จมน้ำตาย ขณะที่พวกเจ้ามองดูอยู่”(Al-Quran 2:50)


          ท่านนะบีอีซา(เยซู) อะลัยฮิสลาม เกิดมาจากพระนางมัรยัมที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย


“.....และเราได้ให้หลักฐานต่างๆอันชัดเจนแก่อีซาบุตรของมัรยัม และเราได้สนับสนุนเขาด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์......”    ( Al-Quran 2:87)


          ท่านนะบีมุฮัมมัด  เป็นเราะซูลท่านสุดท้ายซึ่งได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้าย และนำมาตักเตือนมุมินให้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง

 
“พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้นลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราว พร้อมด้วยความจริง เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นั้น.....”  ( Al-Quran 3:3)


“และโดยแน่นอนเราได้ส่งเราะซูลมาในทุกประชาชาติ(โดยบัญชาว่า) พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด ดังนั้น ในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีผู้ที่การหลงผิดคู่ควรแก่เขา ฉะนั้น พวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่าบั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นไร”  (Al-Quran 16:36)


5) ศรัทธาต่อวันสิ้นโลกและการเกิดใหม่ในปรโลก 


           คือ การศรัทธาอย่างแน่วแน่ในทุกสิ่งที่อัลลอฮ์   และเราะซูล  ได้กล่าวไว้เรื่องการฟื้นคืนชีพ การไล่ต้อนมนุษย์ไปยังสนามรวม (มะห์ชัร) การสอบสวน ณ สะพานศิรอฏ์ ตาชั่งวัดความดีความชั่ว สวนสวรรค์ นรก และอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันอาคิเราะฮ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ในวันสิ้นโลก ตลอดจนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังความตายคือ การถูกทรมานและการได้รับความสุขในหลุมฝังศพ


“ แต่ละชีวิตนั้นจะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้นคือ วันปรโลก แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว.....” (Al-Quran 3:185)


          วันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์  จะทรงให้ทุกสรรพสิ่งได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อการสอบสวนและตอบแทน การที่ได้ชื่อว่า “อัล-เยาม์ อัล-อาคิรฺ” (แปลว่า วันสุดท้าย) อันเนื่องมาจากไม่มีวันใดอีกแล้วหลังจากวันดังกล่าวนี้ เพราะชาวสวรรค์คือผู้ศรัทธาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ไม่มีวันสิ้นสุด และชาวนรกคือผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล


“วันซึ่งแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นอื่นจากแผ่นดินนี้ และชั้นฟ้าทั้งหลาย (ก็เช่นเดียวกัน) พวกเขาจะปรากฏตัวต่อหน้าอัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต”   (Al- Quran 14:48)


          วันที่ทุกคนจะต้องได้รับการตัดสินไม่ว่าความดีหรือความชั่ว มนุษย์นั้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม  ทุกคนมีความเชื่ออยู่แล้วว่าโลกใบนี้จะต้องถึงวันแตกสลายทุกชีวิตจะต้องตาย ไม่มีชีวิตไหนที่รอดพ้น   หากแม้นว่าไม่มีการตัดสินคนที่ทำความชั่วอย่างมากมายสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์  โกงกินบ้านเมืองและยังไม่ได้ชดใช้กรรมเลย เขาก็ตายเสียแล้ว  ใครจะเป็นผู้ตัดสินให้พวกเขาชดใช้ในสิ่งที่เขากระทำ อัลลอฮ์     เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น


“และพวกเจ้า จงยำเกรงวันหนึ่ง (วันสิ้นโลก) ซึ่งพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์และในวันนั้น แต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนเต็มโดยครบถ้วน ตามที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม”  (Al- Quran 2:281)


6) ศรัทธาในการกำหนดสภาวะการณ์ของอัลลอฮ์ (กอฎอรกอดัร)  


“แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัมปริออก ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งมีชีวิต นั่นแหละคืออัลลอฮ์ แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไป” (Al- Quran 6:95)


          ทุกชีวิตเกิดมาพระองค์ทรงลิขิตทุกอย่างไว้แล้ว รูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สิน ความเป็นอยู่ ความจน ความรวย กำหนดการตาย สิ่งเหล่านี้คือบททดสอบที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ให้ มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระองค์บันทึกการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่ยังไม่เกิดขึ้น และที่กำลังจะเกิดขึ้น


“และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่ง ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้ และจะขอให้เร็วไป(สักชั่วโมงหนึ่ง)ก็ไม่ได้” (Al- Quran 7:34)


          มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกในการทำความดีหรือความชั่ว การวิงวอนและปฏิบัติตามคำสั่งสอนในอัลกุรอานเท่านั้น ที่จะทำให้พระองค์ทรงตัดสินว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ผู้นั้นหรือไม่ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระองค์อัลลอฮ์  แต่เพียงพระองค์เดียว อัลลอฮ์   ผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งทั้งสิ่งเร้นลับ และเปิดเผย


“จงกล่าว(วอนขอ)เถิด ฉันขอความคุ้มครองจากองค์อภิบาลแห่งรุ่งอรุณให้พ้นจาก ความเลวร้ายของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบันดาลไว้......” ( Al- Quran 113:1-3)

Next >>>>Click