ประเด็นที่สี่ :
การพิพากษาตัดสินที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติศาสนา
อัลกุรอานได้แจกแจงให้ทราบว่า การกระทำที่ขัดต่อหลักการอัลอิสลามเป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจน และเป็นการตั้งภาคี (ชิริก) ต่ออัลลอฮ์ และครั้งเมื่อชัยฏอนได้ยุยงผู้ปฏิเสธศรัทธาในมักกะฮ์ให้ถามท่านนะบีมุฮัมมัด ถึงแพะที่เพิ่งตาย โดยถามว่า ใครเป็นคนฆ่ามัน ? ซึ่งท่าน นะบีมุฮัมมัด ตอบว่า อัลลอฮ์ เป็นผู้ฆ่าแพะนั้น (บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ และอันนะซาอีย์ จากรายงานของอิบนุ อับบ๊าส) ดังนั้น มันจึงยุยงพวกเขาเหล่านั้นให้กล่าวกับท่านนะบีมุฮัมมัด ว่า สิ่งที่พวกท่านเชือดมันด้วยกับมือของพวกท่านถือว่าเป็นที่อนุมัติ (ฮะล้าล) และสิ่งที่อัลลอฮ์ ทรงเชือดด้วยกับพระหัตถ์อันทรงเกียรติของพระองค์ถือว่าเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม)! ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกท่านทั้งหลายก็ดีกว่าอัลลอฮ์ นะซิ !
อัลลอฮ์ จึงประทานอายะฮ์ต่อไปนี้ลงมา คือ
และแท้จริง บรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบ แก่บรรดาสหายของพวกมัน เพื่อที่พวกเขาจะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และหากว่าพวกเจ้า เชื่อฟังพวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น (อัลอันอาม: 121)
และการที่ไม่มีอักษร ฟาอ์ อยู่ในประโยคที่ว่า إنكم لمشركون นั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนของอักษรลามว่า หมายถึง "การสาบาน" นั่นคือ เป็นการสาบานจาก อัลลอฮ์ ที่ทรงสาบาน ในอายะฮ์อันทรงเกียรตินี้ว่าผู้ใดที่เชื่อฟัง ชัยฏอน ในการกำหนดและอนุญาตให้กินซากสัตว์ที่ตายเองได้เท่ากับว่าเขาผู้นั้นเป็น ผู้ตั้งภาคี(มุชริก) และเป็น ชิริกอักบัร(บาปใหญ่) ออกนอกแนวทางของศาสนาอิสลามทำให้พ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ของบรรดาอุลามะ(นักปราชญ์) และในวันกิยามะฮ์ผู้ที่กระทำการดังกล่าวนั้นจะถูกพระองค์ตำหนิและถูกลงโทษอย่างเจ็บปวด ทรมาน ตลอดกาล
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
ข้ามิได้บัญชากับพวกเจ้าดอกหรือ โอ้ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย! ว่าพวกเจ้าอย่าได้เคารพบูชาต่อชัยฏอนมารร้าย แท้จริง มันนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า นี่คือแนวทางอันเที่ยงตรง (ยาซีน : 60-61)
และอัลลอฮ์ ยังได้นำคำพูดของนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม สหายคนสนิทของพระองค์ ที่ว่า
โอ้ พ่อจ๋า! อย่าเคารพบูชาชัยฏอนเป็นอันขาด แท้จริงชัยฏอนนั้น มันดื้อรั้น ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี (มัรยัม : 44)
คือ อย่าได้ปฏิบัติตามชัยฏอนในสิ่งที่เป็นการปฎิเสธศรัทธา และเป็นการละเมิดฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์พระองค์ตรัสว่า
พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์ นอกจากเจว็ดหญิง และพวกเขาจะไม่วิงวอน นอกจากต่อชัยฏอนที่ดื้อดันเท่านั้น (อันนิซาอ์ : 117)
คือพวกเขาจะไม่เคารพบูชาใครนอกจากชัยฏอนเท่านั้น และนั่นคือการที่พวกเขาปฏิบัติตามบทบัญญัติของชัยฏอนนั่นเองอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
และในทำนองนั้นแหละ บรรดาภาคีของพวกเขา ได้ทำให้สวยงามแก่จำนวนมากมายในหมู่มุชริกีน ซึ่งการฆ่าลูกๆ ของพวกเขา... (อัลอันอาม:137)
ดังนั้น จึงเรียกพวกเขาว่าบรรดาผู้ตั้งภาคี ที่ร่วมผสมโรงไปกับการเชื่อฟังตามชัยฏอน โดยการฝ่าฝืนอัลลอฮ์ ด้วยการฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเอง และเมื่อ อะดีย์ บิน ฮาติม รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้ถาม ท่านนะบีมุฮัมมัด ถึงอายะฮ์ ที่ว่า
พวกเขา (ชาวคริสต์) ได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอา อัล มะซีห์ บุตรของมัรยัม เป้นพระเจ้าด้วย (อัตเตาว์บะฮ์ : 31)
ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ตอบว่าความหมายของคำว่า "ยึดเอาบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า" คือการปฏิบัติตามพวกเขาในการที่พวกเขาห้าม (ฮะรอม) ในสิ่งที่อัลลอฮ์ ทรงอนุมัติ (ฮะล้าล) และการที่พวกเขาอนุมัติ (ฮะล้าล) ในสิ่งที่อัลลอฮ์ ทรงห้าม (ฮะรอม) นั่นเอง" (บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ ฮะดีษเลขที่ 3095 และอัลบัยฮะกีย์ ฮะดีษเลขที่10/116)
อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่อ้างตนว่า พวกเขานั้นศรัทธาต่อสิ่งที่ ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานมาก่อนเจ้าดอกหรือ โดยที่เขาเหล่านั้นต้องการที่จะใช้ "อัฏฏอฆูต" ในการตัดสิน ทั้งๆ ที่พวกเขาถูกใช้ให้ปฏิเสธมัน และชัยฏอนนั้น ต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางที่ห่างไกล" (อันนิซาอฺ : 60)
อัฏฏอฆูต คือ เจว็ด หรือสิ่งที่ถูกเคารพบูชานอกเหนือไปจากอัลลอฮ์อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
" และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยกับสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละ คือผู้ปฏิเสธการศรัทธา" (อัลมาอิดะฮ์ : 44)
อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาด ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด และบรรดาผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขารู้ดีว่าแท้จริงอัลกุรอานนั้น ถูกประทานมาจากพระเจ้าของเจ้า ด้วยความเป็นจริง และเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด" (อัลอันอาม : 114)
อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของเจ้านั้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งความสัจจะ และความยุติธรรม ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้" (อัลอันอาม : 115)
ดังนั้น พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า (صدقا) นั้น หมายถึง ข่าวคราวที่ สัจจริงและ ( وعدلا )หมายถึง บทบัญญัติที่มีความเที่ยงธรรมอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"ข้อตัดสินสมัยญาฮิลียะฮ์ กระนั้นหรือ ที่พวกเขาปราถนา และใครเล่าที่จะมีข้อตัดสินชี้ขาดที่ดียิ่งไปกว่าอัลลอฮ์ สำหรับกลุ่มชนที่ศรัทธาเชื่อมั่น" (อัลมาอิดะฮ์ : 50)
"ญาฮิลียะฮ์" คือ ยุคสมัยก่อนศาสนาอิสลาม เป็นยุคที่โง่เขลา มีแต่การกดขี่และข่มเหง ไม่มีความยุติธรรมประเด็นที่ 5 >>>>click