คุตบะฮฺ อิดิลอัฎฮา 1430 ฮ.ศ.(3)
  จำนวนคนเข้าชม  3659

คุตบะฮฺ อิดิลอัฎฮา 1430 ฮ.ศ. (3)


الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد


           ในทุกๆ ด้านของชีวิตที่เสื่อมโทรมและเสียหาย ล้วนจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่และดูแลอย่างจริงจังจากนักพัฒนา  หากเขาผู้นั้นเป็นเช่นนักพัฒนาธรรมดาทั่วไปแล้ว อย่างดีก็อาจแก้ไขหรือพัฒนาได้ก็แค่ปัญหาใดปัญหาหนึ่งเท่านั้น… แม้นอายุอาจยืดยาวเพียงใด เขาอาจแก้ไขได้เพียงข้อบกพร่องหนึ่งทางสังคมที่เขารู้สึกปวดร้าวเท่านั้น... ทว่าจิตใจของมนุษย์ถูกประกอบมาสุดซับซ้อนยากที่จะหยั่งถึงได้  ...มีความละเอียดอ่อน มีประตูหน้าต่างมากมาย  แฝงไปด้วยความต้องการและอิสระ  ซึ่งเมื่อใดหากมันเบี่ยงเบนเฉไฉและหลงทาง ก็มิอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนิสัยสันดานใดๆของคนผู้นั้นได้เลย  จนกว่าทัศนคติของเขาจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดี หรือจากความเสื่อมเสียไปสู่การพัฒนาปรับปรุง

          ทุกโรคของสังคม รวมทั้งข้อบกพร่องต่างๆ ของอนุชนรุ่นปัจจุบัน ล้วนแล้วต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไม่จบสิ้น  ตลอดอายุขัยของมนุษย์ต้องจมอยู่ในนั้น หรือนักพัฒนาเหล่านั้นจำต้องทุ่มเทชีวิตอย่างที่สุดและตลอดไปเลยก็ว่าได้  ดังกรณีตัวอย่างการรณรงค์กวาดล้างยาเสพติดเป็นต้น ถึงแม้รัฐจะทุ่มเทกวาดล้างอย่างหนักและกำหนดบทลงโทษผู้เกี่ยวข้องอย่างหนักหน่วงเพียงใด  ก็ยังไม่มีพลังพอที่จะปราบปรามพฤติกรรมการเสพยาเสพติดได้ ไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือจิตใต้สำนึกเสียก่อนเท่านั้น  แต่หากบีบบังคับด้วยวิธีอื่นแล้ว ก็มีแต่จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดเหล่านั้น หันไปปฏิบัติความผิดอื่นๆ อีก หรือไม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงเปลี่ยนชื่อหรือสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของสิ่งเดียวกัน เพื่อชี้ชวนให้ผู้คนเห็นดีเห็นงามต่อไปอย่างไม่จบสิ้น...


พี่น้องชาวอิดิลอัฎฮา ผู้ศรัทธาทั้งหลาย


         นะบีมุฮัมมัด มิใช่เช่นนักปฏิรูปทั่วไป ที่เข้าบ้านทางประตูด้านหลัง  หรือปีนป่ายหน้าต่าง แล้วป่าวประกาศต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ ทางสังคม และสิ่งบกพร่องทางศีลธรรมจรรยาเพียงเท่านั้น... ซึ่งบางคนประสบความสำเร็จในบางส่วน แค่ชั่วเวลาหนึ่งในบางพื้นที่ของประเทศ   ขณะที่บางคนก็เสียชีวิตลงก่อนที่ภารกิจจะสำเร็จ...

          นะบีมุฮัมมัด เข้ามายังอาคารแห่งการเผยแผ่และทำการปฏิรูปโดยใช้ประตูของมัน  แล้วไขกุญแจแห่งธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ถูกปิดตายออกเสีย   เป็นกุญแจที่บรรดานักปฏิรูปในช่วงว่างเว้นศาสดา และผู้คนต่างเหนื่อยล้าและล้มเหลวมามากต่อมากแล้ว เพราะพยายามเปิดด้วยสิ่งอื่นซึ่งมิใช่ลูกกุญแจที่แท้จริงของมัน...  ท่านได้เรียกร้องมนุษย์สู่การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  ปฏิเสธรูปเจว็ด และการสักการะบูชาสิ่งต่างๆ...  ปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมในทุกความหมาย พร้อมลุกขึ้นประกาศท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลายว่า

 “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย  จงกล่าวเถิดว่า : ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ) แล้วพวกท่านจะประสบกับความสำเร็จ” 

พร้อมกับเรียกร้องพวกเขาสู่การศรัทธาต่อสาสน์ของท่าน และศรัทธาต่อวันปรโลก..

          นะบีมุฮัมมัด ยืนหยัดอยู่ถึง 13   ปีในการเรียกร้องเชิญชวนสู่พระเจ้าองค์เดียว และให้ศรัทธาต่อสาสน์ของท่าน และต่อโลกอาคิเราะฮ์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด โดยปราศจากการเบื่อหน่าย  อ่อนข้อ  เศร้าโศก  ลังเล หรือ โอนเอนต่ออุดมการณ์นี้เลย...  ท่านมองว่า ในเหตุการณ์เหล่านั้น ย่อมมีโอสถทิพย์สำหรับทุกโรค ขณะที่ฝ่ายกุร็อยช์ลุกขึ้นประกาศก้องในทุกสารทิศ และพร้อมใจมุ่งเป้ามายังท่านด้วยดอกธนูดอกเดียวกัน พยายามจุดบ้านเผาเมือง เพื่อโดดเดี่ยวท่านออกจากลูกหลานและพี่น้อง  ฉะนั้น การที่ผู้คนยอมศรัทธาเชื่อมั่นต่อท่านนะบี  และยอมแยกตัวไปอยู่กับท่านในยามวิกฤติเช่นนี้ จึงถือเป็นจุดที่ล่อแหลมที่สุด บุคคลที่กล้าขับเคลื่อนพร้อมกับท่านได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความจริงจังและจริงใจ  ไม่ยึดติดตัวเองและเชื่อมั่นอย่างเต็มร้อยที่จะทะยานก้าวไปข้างหน้า และเดินฝ่าฟันไปพร้อมกับท่าน   เยาวชนกลุ่มหนึ่ง กล้ายืนหยัดอยู่เบื้องหน้าชนิดที่ฝ่ายกุร็อยช์มิอาจสบประมาทได้เลย  หรือใช้ปัจจัยใดๆ ทางโลกมาเจรจาหว่านล้อมพวกเขาให้สั่นคลอนในจุดยืนได้ เพราะความปรารถนาของพวกเขาคืออาคิเราะฮ์ และความต้องการของพวกเขาก็คือสวนสวรรค์

          พวกเขาได้ยินแล้วซึ่งการเรียกร้องของผู้เรียกร้องให้ศรัทธาต่อองค์อภิบาล... พวกเขาจึงรู้สึกว่า สิ่งที่ ญาฮิลียะฮ์ยัดเยียดให้นั้น มันช่างคับแคบเสียเหลือเกิน  พาให้รู้สึกอึดอัด กังวล และกระสับกระส่ายเหมือนนอนอยู่บนพงหนาม... พวกเขาเห็นแล้วว่า ย่อมไม่มีสิ่งใดมาช่วยปลดปล่อยได้ นอกจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และ ศาสนทูตของพระองค์เท่านั้น พวกเขาจึงยอมรับการศรัทธา และมุ่งไปหา นะบีมุฮัมมัด   ทั้งๆ ที่ท่านอาศัยอยู่ในบ้านเมืองของพวกเขา ได้ประสบพบเห็นท่านมาตลอด ว่าฝ่ายกุร็อยช์พยายามขัดขวางท่านและกลุ่มชนผู้ศรัทธาด้วยอุปสรรคต่างๆ นานา  แต่บรรดาผู้ศรัทธาก็ได้วางมือของตนไว้บนมือของนะบีมุฮัมมัด    ยอมมอบร่างกายและชีวิตให้แก่ท่านแล้ว  แม้นชีวิตจะอยู่ในอันตรายเพียงใด  ก็พร้อมเผชิญการทดสอบและวิบากกรรมต่างๆ ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา...

          เผ่ากุร็อยช์คงไม่มีความหมายอันใดเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไว้... แม้นกระบอกธนูของพวกกุร็อยช์จะพลัดหล่นอันแล้วอันเล่า... ดอกธนูจะถาโถมมายังพวกเขาดอกแล้วดอกเล่า... แต่ทั้งหมดนั้น หาได้ทำให้เกิดสิ่งใด นอกจากความเชื่อมั่น และอดทนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
   
ความว่า “พวกเขากล่าวว่านี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ได้สัญญาไว้แก่เรา และอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ตรัสไว้เป็นจริงแล้ว และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม” (อัลอะหฺซาบ, 33 : 22)

         นะบีมุฮัมมัด ได้ใช้อัลกุรอานเป็นอาหารทางวิญญาณ   อบรมจิตใจด้วยการศรัทธา และทำให้พวกเขานอบน้อมลงเบื้องหน้าองค์อภิบาลแห่งสากลโลก  5  ครั้งต่อวัน ด้วยร่างกายที่ใสสะอาด  หัวใจที่ยำเกรง  ร่างกายที่ยอมจำนน และสติปัญญาที่ทะลุปรุโปร่ง... ทุกๆวันมีแต่จะทำให้วิญญาณสูงส่ง  หัวใจบริสุทธิ์  อุปนิสัยที่สะอาด  พร้อมยังปลดปล่อยให้พ้นจากอำนาจแห่งวัตถุนิยมทั้งหลาย และการราวีของกิเลสตัณหา พร้อมเรียกร้องสู่องค์อภิบาลแห่งแผ่นดินและฟากฟ้าทั้งหลาย...อีกทั้งยังทำให้พวกเขามีความอดทนอดกลั้นต่อการประทุษร้าย   รู้จักการให้อภัยและเอาชนะใจตนเอง... พวกเขามาจากเผ่าพันธุ์ ที่แต่ละคืนวันมีแต่สงครามแตกหัก ตะลุมบอนและคลุกอยู่กับฝุ่นดิน  แต่นะบีมุฮัมมัด  ได้พยายามข่มนิสัยชอบการต่อสู้ และป้องกันความเป็นชาตินิยมอาหรับของพวกเขาเอาไว้ พร้อมกล่าวกับพวกเขาว่า

“พวกท่านทั้งหลายจงวางมือลงเถิด อย่าตอบโต้เป็นอันขาด แล้วลุกขึ้นทำละหมาดและจ่ายซะกาต...”(อันนิสาอฺ, 4 : 77)

แล้วพวกเขาก็ยอมน้อมรับคำสั่งและวางมือลง... พวกเขายอมอดทนอดกลั้นต่อการทารุณกรรมจากพวกกุร็อยช์ แม้ต้องสังเวยด้วยเลือดเนื้อ หรือแม้กระทั่งชีวิต  โดยมิหวาดหวั่นหรือยอมอ่อนข้อ   ประวัติศาสตร์ไม่เคยจารึกเหตุการณ์ใดในยุคมักกะฮ์ ว่ามุสลิมลุกขึ้นปกป้องตนเองด้วยดาบเลย หรือตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรง แม้โดยสัญชาติญาณและนิสัยดั้งเดิมแล้ว พวกเขามีความพร้อมที่จะใช้กำลังเช่นนั้นก็ตาม...

         สิ่งที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น คือการเชื่อฟังและยอมนอบน้อม ซึ่งเป็นการแสดงอารยขัดขืนที่ยาวนานและยากลำบากมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว   จนกระทั่งเมื่อพวกกุร็อยช์ข่มเหงรังแกหนักขึ้นจนสุดจะทนไหว อัลลอฮ์ ทรงอนุญาตให้ศาสนทูตของพระองค์พร้อมเหล่าเศาะฮาบะฮ์ทำการฮิจเราะฮ์ คืออพยพสู่เมืองมะดีนะฮ์ ซึ่งอิสลามได้เผยแผ่ไปถึงก่อนแล้ว...

          ชาวเมืองมักกะฮ์ได้ประสานมือกับชาวเมืองมะดีนะฮ์  และไม่มีสิ่งใดที่สามารถผนวกรวมเข้าด้วยกันได้นอกจากศาสนาใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นภาพที่แสดงถึงอำนาจของศาสนาที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกยืนยันไว้  ระหว่างเผ่าเอาส์และ       ค็อซรอจญ์ ซึ่งเป็นคู่อรินานนับศตวรรษที่ฝุ่นตลบของสงครามไม่เคยสร่างซาจากพวกเขาเลย ดาบของพวกเขาไม่เคยสิ้นคาวเลือด กระทั่งอิสลามได้สมานฉันท์หัวใจของพวกเขาเข้าด้วยกัน แม้นจะใช้สิ่งที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสมานหัวใจของพวกเขาเช่นนี้ได้ ต่อจากนั้นท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้สร้างความเป็นพี่น้องระหว่างกัน  ความเป็นพี่น้องที่เหนือกว่าความเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ความเป็นเพื่อนหรือสหายทุกคู่เท่าที่ประวัติศาสตร์เล่าขานกันมาก็มิอาจเสมอเหมือนได้

         กลุ่มชนใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ เป็นดั่งแกนกลางของประชาชาติอิสลามในภาพกว้างที่อุบัติขึ้นเพื่อชาวโลกทั้งหลาย และเป็นธาตุแท้ของอิสลาม  การปรากฏขึ้นของกลุ่มชนนี้ในสถานการณ์อันลำบากยิ่งนี้ เท่ากับเป็นสิ่งคุ้มกันโลกจากความหลงทางที่กำลังคุกคาม   เป็นหลักประกันหนึ่งแก่มนุษยชาติจากวิกฤติและภยันตรายต่างๆที่ห้อมล้อมอยู่ได้  ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์ ทรงได้กล่าวเฉพาะเจาะจงถึงความเป็นพี่น้องและความสมานฉันท์ระหว่างชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรนี้ว่า
 
ความว่า “หากพวกเจ้าไม่ปฏิบัติในสิ่งนั้น(คือไม่ช่วยเหลือพี่น้องผู้ศรัทธาด้วยกันจากการถูกข่มเหง)แล้ว ความวุ่นวายและความเสียหายอันใหญ่หลวง ก็จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน”(อัลอันฟาล, 8 : 73)

           นะบีมุฮัมมัด ยังคงอบรมขัดเกลาพวกเขาอย่างละเอียดและลึกซึ้ง  ขณะที่อัลกุรอานก็ยังคงพัฒนาจิตวิญญาณของพวกเขาให้สูงส่งและเติมเต็มไฟของหัวใจให้ลุกโชนอยู่ตลอด... วงสนทนาสั่งสอนต่างๆ ของนะบีมุฮัมมัด  ยังคงเพิ่มพูนความเข้มแข็งในเรื่องศาสนา และให้ละเว้นจากกิเลสตัณหา... ใช้ชีวิตสิ้นไปในหนทางแห่งความดี และเสน่หาต่อสรวงสวรรค์...  ได้กระตุ้นให้พวกเขาเป็นคนใฝ่รู้ ทำความเข้าใจในเรื่องศาสนาและตรวจสอบทบทวนตนเอง... พวกเขาต่างเชื่อฟังปฏิบัติตามนะบีมุฮัมมัด ในทุกสภาพการณ์ไม่ว่ายามปกติสุข หรือยามทุกข์เข็ญ... พร้อมออกเดินทางในวิถีของอัลลอฮ์ ได้ทุกเมื่อ... พวกเขาสามารถสลัดโลก (ดุนยา)ได้อย่างง่ายดาย  อันความทุกข์ยากของลูกเมียและครอบครัวเป็นสิ่งเล็กน้อยมาก... มีโองการมากมายที่ถูกประทานลงมาซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเจอหรือคุ้นเคย... และทุกสิ่งที่รู้สึกลำบากใจ แต่จำเป็นต้องปฏิบัติทั้งด้วยทรัพย์สิน  ชีวิต หรือครอบครัว พวกเขาพร้อมจะเชื่อฟังเสมอ

          แล้วปมเงื่อนสำคัญ ซึ่งหมายถึงปมเงื่อนแห่งการตั้งภาคีและการปฏิเสธก็ถูกแก้ออก... พร้อมปมเงื่อนอื่นๆก็คลายออกเสียสิ้น  นะบีมุฮัมมัด เริ่มรณรงค์โดยมิจำเป็นต้องเปิดฉากต่อสู้ไปในทุกเรื่อง ทั้งที่เป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้ามเลย  เมื่อใดที่อิสลามสามารถเอาชนะญาฮิลียะฮ์ในสมรภูมิครั้งแรกนี้ได้สำเร็จ ชัยชนะในครั้งหลังจะตามมาอย่างง่ายดาย  ทำให้ผู้คนเข้าสู่อิสลามทั้งด้วยหัวใจ  เรือนร่างและวิญญาณ  และจะไม่ฝ่าฝืนโต้แย้งนะบีมุฮัมมัด   ภายหลังจากทางนำเป็นที่ประจักษ์แล้ว  และจะไม่พบว่า พวกเขารู้สึกอึดอัดในสิ่งใดที่นะบีมุฮัมมัด ตัดสินและไม่โลเลอีกในสิ่งที่ท่านใช้หรือห้ามไว้.... บทบัญญัติห้ามสุราถูกประทานลงมาขณะที่กำลังยกแก้วซดน้ำเมาอย่างสุขสำราญ และพวกเขาต้องเลือกระหว่างคำสั่งของอัลลอฮ์ ขณะริมฝีปากที่กำลังคาบติดอยู่กับขอบแก้ว ทั้งที่กระสันอยากจะยกซดดื่มปานใจจะขาด... แต่แล้วบรรดาถังเหล้าสุรายาดองทั้งหลายก็ถูกทุบแตกกระจายเนืองนองไปทั่วซอกซอยของเมืองมะดีนะฮ์...

           กระทั่งเมื่อโอกาสของชัยฏอนหมดไปจากอารมณ์ของพวกเขา หรือแม้แต่โอกาสของอารมณ์เองก็หมดไปด้วย... พวกเขารู้สึกเป็นธรรมต่อตนเองและต่อผู้อื่นมากขึ้น... อยู่ในโลกดุนยาดุจดั่งบุรุษแห่งอาคิเราะฮ์ และอยู่ในวันนี้เยี่ยงบุรุษของวันพรุ่งนี้... ไม่รู้สึกเศร้าโศกเมื่อคราวเคราะห์ หรือหยิ่งยโสเมื่อยามมีสุข...  ไม่หวั่นไหวต่อความจน ความรวย... อำนาจใดๆ ก็มิอาจทำให้ยอมสยบกลัวได้... พวกเขามิประสงค์ความโอหังหรือสร้างความเสียหายใดๆบนพื้นโลก... นอกจากความยุติธรรมอันเที่ยงตรงสำหรับมนุษย์   ที่ดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง เป็นประจักษ์พยานต่ออัลลอฮฺ และตัวเอง ... พวกเขากลายเป็นที่พึ่งของมนุษยชาติ ปกป้องคุ้มครองโลก และเรียกร้องสู่ศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า... เป็นผู้ที่ท่านศาสนทูตแห่งพระเจ้ามอบหมายให้เป็นผู้สืบทอดในพันธกิจ ขณะที่ท่านจะลาโลกไปอย่างภาคภูมิใจในประชาชาติและสาสน์ของท่าน...

         การปฏิรูปที่นะบีมุฮัมมัด สถาปนาขึ้นในจิตใจของบรรดามุสลิมและใช้พวกเขาเป็นสื่อต่อสังคมโลก นับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่มีมาในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การปฏิรูปครั้งนี้ช่างแปลกในทุกประการ คือแปลกในแง่ของความรวดเร็ว  ในแง่ของความลึกล้ำ  และแปลกในแง่ของความกว้างขวางและครอบคลุม... รวมทั้งแปลกในแง่ความชัดเจนและสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง  ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการปฏิรูปต่างๆ ที่มีแต่ความคลุมเครือน่าสงสัย และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุดของมนุษยชาติ...

Next ::>>>> Click