ผู้ทำพินัยกรรม และ ผู้รับ
  จำนวนคนเข้าชม  14287

ผู้ทำพินัยกรรม  

โดย .. มุร็อด บินหะซัน

  ผู้ทำพินัยกรรมมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

           ก.  จะต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายอิสลาม  มีสติปัญญาที่สมบูรณ์  เป็นอิสระชนจะเป็นเพศชายหรือหญิง  มุสลิมหรือมิใช่มุสลิมก็ตาม นักกฎหมายอิสลามมีความเห็นสอดคล้องกันว่า  ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาสมบูรณ์  และจะต้องเป็นอิสระชน  ฉะนั้นการทำพินัยกรรมของบุคคลที่มีสติปัญญาฟั่นเฟือน  วิกลจริตและผู้ที่เป็นทาสจึงไม่มีผลบังคับใช้   ส่วนการทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ที่มีความรู้สึกรับผิดชอบแล้ว (المميز ) นั้น  ตามทัศนะของ มัซฮับมาลิกีย์ มัซฮับหัมบะลีย์และทัศนะหนึ่งของอิหม่ามชาฟิอีย์มีความเห็นว่า พวกเขาสามารถทำพินัยกรรมได้ เพราะพินัยกรรมมิได้ทำให้กรรมสิทธิ์ของเขาหมดไปในขณะนั้นทันที  และพินัยกรรมยังทำให้เขาได้รับผลบุญภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้งอีกด้วย (al-Sharbini, 1958 : 39)   

โดยอาศัยทัศนะหนึ่งของท่านอุมัรตามรายงานดังต่อไปนี้  

  “ จากอบีบักรฺ บุตรมุฮัมมัด   บุตรอัมรฺ  บุตรหัซมฺว่า  มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังจะตายที่มะดีนะฮฺ  ขณะที่ทายาทโดยชอบธรรมของเขาอยู่ที่ประเทศซาม (ซีเรีย) จึงได้มีการเล่าเรื่องของเขาแก่ท่านอุมัร  บุตรค็อฏฏ็อบ และได้มีการถามท่านว่า  “เด็กคนหนึ่งกำลังจะตาย  เขาทำพินัยกรรมได้หรือไม่ ?” 

ท่านอุมัรตอบว่า  “ให้เขาทำพินัยกรรมเถิด” เด็กคนนั้นจึงได้ทำพินัยกรรมด้วยกับบ่อใบหนึ่งเรียกว่าบ่อ”ญัชม์”และทายาทของเขาได้ขายบ่อด้วยกับราคาสามหมื่น  ท่านอบูบักรฺได้เล่าอีกว่า “เด็กชายคนนั้นมีอายุสิบปีหรือสิบสองปี” (หะดีษบันทึกโดยอัดดาริมีย์  หะดีษหมายเลข  3290) 
  
           การผ่อนปรนในเรื่องอายุของผู้ทำพินัยกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะการทำพินัยกรรมนั้นเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่มีผลเสียต่อผู้กระทำแต่อย่างใด เพราะพินัย กรรมจะมีผลหลังจากที่ผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตไปแล้ว  การห้ามผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำพินัยกรรมนั้นก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ทำนิติกรรมเองซึ่งในการทำพินัยกรรมนั้นผลประโยชน์ของผู้ทำนิติกรรมจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โดยเฉพาะกรณีที่ทำพินัยกรรมยกทรัพย์แก่ผู้มีบุญคุณต่อผู้เยาว์ที่มิได้เป็นทายาทโดยธรรมของผู้เยาว์  และทายาทโดยธรรมนั้นไม่มีบุญคุณต่อผู้เยาว์ในช่วงเจ็บ ป่วยก่อนจะตายแต่อย่างใด (อิสมาแอ  อาลี, 2546 : 100)

          ข.  ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องทำด้วยความสมัครใจ    เพราะการทำพินัยกรรมเป็นการโอนกรรม สิทธิ์จึงจำเป็นต้องทำโดยสมัครใจ    ฉะนั้นการทำพินัยกรรมเพราะถูกบังคับ    จากความผิด พลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ     หรือหลงลืมจึงไม่มีผลบังคับใช้ ส่วนเงื่อนไขของการจัดการตามพินัยกรรมของผู้ทำพินัยกรรมนั้น ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นผู้ที่มีหนี้สินเท่ากับจำนวนของทรัพย์มรดก  เพราะการจัดการใช้หนี้นั้นต้องกระทำก่อนการจัดการพินัยกรรมโดยมติของนักกฎหมายอิสลาม และหากทรัพย์สินที่ระบุในพินัยกรรมนั้นไปเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้อื่น  คือหนี้สินดังกล่าว  การทำพินัยกรรมในลักษณะนี้จึงขึ้นอยู่กับการอนุญาตของเจ้าหนี้ทั้งหลาย หากเขาเหล่านั้นอนุญาตก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นมีผลใช้ได้และสามารถจัดการให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้ทำพินัยกรรมได้ แต่หากเขาเหล่านั้นไม่ยินยอมก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นใช้ไม่ได้ (al-Zuhaili, 1987  : 28)
  
 


  ผู้รับพินัยกรรม 

ผู้รับพินัยกรรมแบ่งได้   2   ประเภทดังนี้

ก.  ประเภทที่เป็นองค์กรหรือหน่วยงาน

           ประเภทที่เป็นองค์กร      หรือหน่วยงานนั้นมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่กระทำความผิดต่อหลักการศาสนาหรือสร้างความเสียหายให้กับสังคม      หากผู้รับพินัยกรรมเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่กระทำความผิดต่อหลักการศาสนาหรือสร้างความเสียหายให้กับสังคมก็ถือว่าการทำพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะโดยความเห็นของนักนักกฎหมายอิสลามที่สอดคล้องกัน  เช่นการทำพินัยกรรมให้สโมสรการพนัน  สโมสรการบันเทิง      การสร้างโดมครอบสุสาน  การร้องให้โอดครวญกับผู้ตาย  การสร้างหรือการซ่อมแซมโบสถ์  การเขียนคัมภีร์เตารอฮฺและอินญีล     การเขียนหนังสือไสยศาสตร์และหนังสือที่ต้องห้ามทั้งหลาย  การทำพินัยกรรมให้กับคู่สงครามและการจัดซื้อเครื่องดนตรีต่าง ๆ เพราะการทำพินัยกรรมนั้นถูกบัญญัติขึ้นเพื่อการสร้างความสัมพันธ์และการทำความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่อนุญาตให้ทำพินัยกรรมในสิ่งที่เป็นความชั่ว  (al-Zuhaili, 1987 : 29)
  
 


  ข.  ประเภทบุคคล

ผู้รับพินัยกรรมประเภทบุคคลนั้นมีเงื่อนดังต่อไปนี้


          (1)  จะต้องเป็นบุคคลที่มีสภาพเป็นบุคคลในขณะทำพินัยกรรม  คือจะต้องมีชีวิตอยู่แล้ว  แม้ว่าจะยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์ก็ตาม      ทั้งนี้หากคลอดออกมาอยู่รอดเป็นทารกภายในกำหนดเวลาของการตั้งครรภ์ที่สั้นที่สุดสำหรับหญิงผู้เป็นมารดาที่ร่วมหลับนอนตามปกติกับสามี หรือไม่เกินช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ที่ยาวที่สุด   หากหญิงผู้เป็นมารดาขาดจากการสมรสแล้วหรือมีสามีแต่มิได้ร่วมหลับนอนกับสามี


          (2)  เป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักในขณะที่ทำพินัยกรรม  หากผู้ทำพินัยกรรมให้กับผู้รับพินัยกรรมที่ไม่ถูกรู้จักแล้ว  ก็ไม่สามารถจัดการทรัพย์พินัยกรรมให้กับผู้รับพินัยกรรมได้  เพราะพินัยกรรมคือการโอนกรรมสิทธิ์ให้ในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิต  ตามทัศนะส่วนใหญ่ของนักกฎหมายอิสลาม หากบุคคลหนึ่งใดทำพินัยกรรมให้กับนาย มุฮัมมัดหรือนายคอลิด  1/3 ของทรัพย์หรือให้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นมุสลิม  โดยที่ไม่ได้ระบุจำนวนและไม่ได้กล่าวลักษณะที่มีความรู้สึกว่าเขาเหล่านั้นมีความต้องการ  เช่น กลุ่มคนมุสลิมที่ยากจน  ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะในทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์  เพราะผู้รับพินัยกรรมไม่เป็นที่รู้จัก  จึงไม่สามารถส่งทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมให้กับเขาได้  เช่นกับการทำพินัยกรรมของบุคคลหนึ่งให้กับชายคนหนึ่งจากชายสองคน  ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะในทัศนะของมัซฮับทั้งสี่    เพราะไม่ได้เจาะจงผู้รับพินัยกรรม  (al-Zuhaili, 1987 : 34)
 
 
          (3)
  เป็นบุคคลที่มีสิทธิ์ในการปกครองกรรมสิทธิ์ได้  การทำพินัยกรรมเป็นการโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ทำพินัยกรรมให้กับผู้รับพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมจึงต้องเป็นบุคคลที่ปกครองกรรมสิทธิ์ได้  เงื่อนไขข้อนี้เป็นความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างบรรดานักกฎหมายอิสลาม  ฉะนั้นการทำพินัยกรรมให้กับสัตว์ต่างๆ โดยมี เจตนาให้ปกครองสิทธิ์หรือการทำพินัยกรรมให้โดยมิได้ตั้งใจให้ปกครองสิทธิ  ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะ  เพราะเป็นพินัยกรรมให้กับผู้ที่ไม่สามรถปกครองสิทธิได้ในทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์  ชาฟิอีย์และมาลิกีย์  ส่วนการที่ผู้ทำพินัยกรรมกล่าวว่า “เพื่อใช้เป็นอาหารแก่สัตว์ตัวนี้”ถือว่าพินัยกรรมนั้นมีผลบังคับใช้  โดยพิจารณาตามคำพูดของเขามิได้พิจารณาถึงเจตนาของเขา  ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องมีการสนองรับ เพราะเหมือนกับมรดกจึงไม่จำเป็นต้องมีการสนองรับ    เนื่องจากอุปสรรค  และเช่นเดียวกับการวักฟฺ( الوقف ) ให้กับบรรดาคนยากจน  แต่สำหรับทัศนะของมัซฮับซาฟิอีย์แล้วมีเงื่อนไขว่า  เจ้าของสัตว์จะต้องสนองรับพินัยกรรม  พินัยกรรมนั้น  จึงจะมีผลบังคับใช้ (al-Zuhaili, 1987 : 36)   


          (4)  ไม่เป็นบุคคลที่ฆ่าผู้ทำพินัยกรรม  ผู้รับพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นผู้ที่ฆ่าผู้ทำพินัยกรรมตามทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์และ มัซฮับหัมบะลีย์หากผู้ทำพินัยกรรมได้ทำพินัยกรรมให้หลังจากการทำร้ายของผู้รับพินัยกรรม    ต่อมาเขาก็เสียชีวิต   ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะ    หรือผู้ทำพินัยกรรมได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนการทำร้าย    ผู้รับพินัยกรรมก็ไม่มีสิทธิ์รับพินัยกรรมนั้นได้   เพราะการฆ่านั้นเป็นสิ่งทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ         ดังมีหะดีษของท่านนบีเล่าว่า 
  
 
  “ผู้ที่ฆ่านั้นไม่มีสิทธิในสิ่งหนึ่งสิ่งใด”      (หะดีษบันทึกโดยอัดดารุกุฎนีย์     หะดีษหมายเลข 84)
  
      ท่านอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺได้กล่าวว่า     หากทายาททั้งหลายยินยอมหรือไม่มีทายาทอื่นเลยก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นมีผลบังคับใช้  (al-Zuhaili, 1987 : 37)  
     
       ส่วนมัซฮับชาฟีอีย์ถือว่า การทำพินัยกรรมให้กับผู้ที่ฆ่านั้นมีผลบังคับใช้ ถึงแม้จะเป็นการฆ่าโดยการละเมิดก็ตาม  หากผู้รับพินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรมโดยการละเมิด  ผู้รับพินัยกรรมก็ยังมีสิทธิในการรับพินัยกรรมนั้น  เพราะการทำพินัยกรรมเป็นการปกครองกรรมสิทธิ์ด้วยการสัญญา  จึงเหมือนกับการให้    ซึ่งต่างกับการรับมรดก  (al-Nawawi, 1985 :  107)

  
       สำหรับมัซฮับมาลีกีย์นั้น  มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า  การทำพินัยกรรมให้กับผู้ที่ฆ่านั้นมีผลบังคับใช้ จะเป็นฆ่าโดยเจตนาหรือผิดพลาดก็ตาม เมื่อผู้ทำพินัยกรรมทราบว่าผู้รับพินัยกรรมเป็นผู้ฆ่าเขา และเขาก็มิได้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมของเขา เพราะสิ่งที่ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะก็คือ  การรีบเร่งของผู้รับพินัยกรรมในสิ่งหนึ่งก่อนที่จะถึงเวลาของมัน  เขาจึงถูกลงโทษโดยการห้ามสิทธิในสิ่งนั้น  การลงโทษผู้รับพินัยกรรมโดยการห้ามสิทธินี้ จะต้องเกิดขึ้นภายหลังจากการฆ่า ที่อยู่ถัดจากการทำพินัยกรรมในทันที  แต่ถ้าหากผู้ทำพินัยกรรมรู้ว่ามีการทำร้าย  และเขาก็ยังทำพินัยกรรมให้กับผู้ทำร้ายหรือผู้ที่ฆ่า  ก็แสดงว่าเขาได้ให้อภัยและต้องการทำความดีกับผู้นั้นอีกด้วย  (al-Jaziri,  n.d. : 321)
 
  สรุปได้ว่าทัศนะของมัซฮับต่างๆ เกี่ยวกับการฆ่าทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะนั้นมีสองทัศนะด้วยกันคือ

     ทัศนะที่หนึ่ง   การที่ผู้รับพินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรม    ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ  ได้แก่ทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์และมัซฮับหัมบะลีย์

     ทัศนะที่สอง  ผู้รับพินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรมไม่ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ได้แก่ทัศนะของมัซฮับมาลิกีย์และมัซฮับซาฟิอีย์    (al-Zuhaili, 1987 : 38) 


          (5)  ผู้รับพินัยกรรมมิได้เป็นทายาทโดยชอบธรรมของผู้ทำพินัยกรรม  ซึ่งมีสิทธิ์รับมรดกอยู่ แล้ว ผู้รับพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นทายาทโดยชอบธรรมของผู้ทำพินัยกรรมที่มีสิทธิ์รับมรดกอยู่ แล้ว ขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตหากมีทายาทผู้อื่นไม่ยินยอม แต่ถ้าหากทายาทผู้อื่นยินยอมก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นใช้ได้  เพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
  
 
“ไม่มีการทำพินัยกรรมให้กับทายาท นอกจากได้รับอนุญาตจากทายาทบุคคลอื่น"    (หะดีษบันทึกโดยอัลดารุกุฎนีย์  หะดีษหมายเลข 89) 
 
      และการที่ทายาทบุคคลอื่นไม่ยินยอม   จะทำให้เกิดความแตกแยก   ทะเลาะวิวาท  การตัดความสัมพันธ์กับเครือญาติ    ทำให้เกิดความโกรธแค้นและการอิจฉาริษยากันในระหว่างทายาททั้งหลาย เงื่อนไขนี้เป็นความเห็นที่สอดคล้องกันของมัซฮับต่าง ๆ     โดยที่เขาทั้งหลายได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่า  ไม่อนุญาตให้ทำพินัยกรรมให้กับทายาทผู้หนึ่งผู้ใดที่มีสิทธิรับมรดกได้  เมื่อมีทายาทบุคคลอื่นไม่อนุญาต (al-Fawzani, 2001 : 218) 

ที่มา : มิฟตาฮู่ลอุลูมิดดีนียะห์ บ้านดอน