เปิดประตูสู่จินตนาการด้วยการอ่าน
  จำนวนคนเข้าชม  62165

เปิดประตูสู่จินตนาการด้วยการอ่าน
 
 

       การอ่านนอกจากจะช่วยสร้างความสุข ความเพลิดเพลิน และช่วยฝึกสมาธิให้แก่เด็ก ๆ แล้ว ยังเป็นเหมือนการเปิดประตูไปสู่โลกกว้างสำหรับพวกเขาด้วย เพราะช่วยส่งเสริมในเรื่องของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเด็ก อีกทั้ง เสริมสร้างในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและพัฒนาการในด้านภาษา ดังนั้น หากจะกล่าวว่าการอ่านเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็กก็คงจะไม่ผิดเลย แต่ทั้งนี้การอ่านจะเกิดประสิทธิผลมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจในการเลือกหนังสือที่จะให้ลูกอ่านอย่างเหมาะสม ตรงกับความต้องการและวัยของเด็กด้วย ดังนี้
      
       1. เด็กวัย 6 เดือน-2 ปี
      
       เด็กในช่วงวัยนี้สามารถรู้จักตัวพยัญชนะ เช่น ก.ไก่ ข.ไข่ได้แล้ว โดยการที่คุณพ่อคุณแม่ใช้นิ้วชี้ไปตามตัวหนังสือที่อ่านให้ลูกฟัง นอกจากนี้หนังสือที่เหมาะสำหรับเด็กในวัยนี้ต้องเป็นหนังสือนิทานเล่มใหญ่ มีสีสันสดใส มีภาพที่สื่อความหมายแบบง่ายๆ ซึ่งอาจจะเป็นภาพถ่ายหรือภาพวาดที่ไม่ซับซ้อน เช่น ภาพคน ภาพเกี่ยวกับธรรมชาติ ภาพต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ อีกทั้งภาษาของหนังสือนั้นต้องใช้ภาษาง่ายๆ ใช้คำซ้ำๆ อาจเป็นคำคล้องจองหรือคำกลอนสั้นๆ เช่น “ช้างอ้วนกระดุกกระดิก ส่ายงวงกระดุ๊กกระดิ๊ก ไปทางซ้ายไปทางขวา” นอกจากนี้เนื้อหาของหนังสือสำหรับเด็กในวัยนี้ควรเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเด็ก เช่น กิจวัตรประจำวัน ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน สัตว์เลี้ยง

      
       2. เด็กวัย 3-7 ปี
      
       เด็กในช่วงวัยนี้ยังชอบอ่านหนังสือที่มีภาพประกอบอยู่ เช่น นิทานภาพ แต่เด็กในวัยนี้จะเริ่มมีจินตนาการมากขึ้น อีกทั้งพอที่จะเริ่มอ่านหนังสือได้มากขึ้นแล้ว ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหาหนังสือที่มีเนื้อหาที่ส่งเสริมจินตนาการที่มีคำบรรยายมากขึ้นให้ลูกได้อ่าน เช่น หนังสือเทพนิยาย ที่มีเจ้าชาย เจ้าหญิง เทวดา นางฟ้า ซึ่งเด็กบางคนที่ได้ฟังนิทานหรืออ่านนิทานแล้วอาจเล่นสมมุติว่าตนเองเป็นนางฟ้า เป็นเจ้าชาย เป็นเจ้าหญิงตามเนื้อเรื่องของหนังสือนิทานก็ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการมีความคิดสร้างสรรค์ตามวัย คุณพ่อคุณแม่อาจใช้โอกาสนี้ในขณะหรือหลังจากเล่านิทานให้ลูกฟังหรือขณะที่ลูกกำลังเล่นบทบาทสมมุติคอยแนะนำหรือสอนลูกในเรื่องต่างๆได้ เช่น นางฟ้าหรือเทวดาเป็นคนดีเพราะคอยช่วยเหลือคนอื่น ถ้าหนูอยากเป็นเด็กดีเหมือนนางฟ้าหนูต้องรักและดีกับคนอื่นให้มากๆ แต่แม่มดเป็นคนไม่ดีเพราะชอบแกล้งและทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าหนูไม่อยากเป็นเหมือนแม่มดที่ไม่มีใครชอบเลย หนูต้องไม่เกเรและเป็นเด็กดี
      
  
     3. เด็กวัย 8-12 ปี
      
       เด็กในวัยนี้เริ่มสนใจในการอ่านอย่างจริงจัง ซึ่งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมีความสนใจต่อหนังสือที่อ่านแตกต่างกันอย่างชัดเจน เป็นต้นว่า เด็กผู้ชายจะสนใจอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ เครื่องยนต์กลไก การต่อสู้ ส่วนเด็กผู้หญิงจะสนใจอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับตุ๊กตา การแต่งตัว สิ่งสวยๆงามๆ นอกจากนี้หนังสือยังเริ่มเป็นสื่อที่เข้ามามีอิทธิพลในเรื่องของความคิดและรสนิยมของเด็กในวัยนี้อีกด้วยเพราะเป็นวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเลือกสรรหนังสือให้กับลูกในวัยนี้อย่างพิถีพิถันมากขึ้น เช่น อย่าให้มีเนื้อหาที่รุนแรงมากเกินไปจนถึงขั้นฆ่าฟันกันเลือดสาด หรือประเภทที่ใช้ภาษาหยาบคาย ไม่สุภาพ หรืออย่าให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักใคร่ที่เกินงาม ลามกอนาจาร หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับความฟุ้งเฟ้อในวัตถุทั้งหลาย
      
       นอกจากที่การอ่านมีบทบาทกับเด็กๆทั่วไปแล้ว การอ่านยังมีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนา “เด็กพิเศษ”ด้วย ซึ่งสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่สมองพิการ เด็กที่บกพร่องในการเรียนรู้(LD:Lerning Disability) หรือเด็กออทิสติก (Autism) หนังสือสำหรับเด็กพิเศษนี้ควรเป็นหนังสือที่มีภาพประกอบ เป็นภาพเดี่ยวๆ มีตัวหนังสือไม่มากนักและมีสีสันสดใส เพื่อให้อ่านได้เข้าใจง่ายที่สุด และสำหรับเด็กพิเศษที่ยังเล็กหรืออ่านหนังสือไม่ได้ เวลาที่คุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังนั้น ต้องอ่านช้าๆ ซ้ำๆ และเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดตาม เพราะโดยปกติแล้วเด็กเหล่านี้จะมีปัญหาในเรื่องของการฟังและการพูด การให้เด็กพูดตามจะช่วยพัฒนาทักษะในด้านการพูดและการฟังให้แก่เด็กๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

 
  
 
 
       เด็กๆได้อะไรจากการอ่าน
      

       1. ได้ความสุข
      
       การอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความเพลิดเพลินและความสุขให้แก่คนทุกเพศทุกวัย ยิ่งสำหรับเด็กๆแล้วการอ่านเป็นเหมือนของเล่นหรือเกมอีกอย่างหนึ่งสำหรับเขา จึงไม่แปลกใจว่าถ้าตอนไหนเขาไม่ได้วิ่งเล่นซน เขาจะต้องร้องหาหนังสือเล่มโปรดมานั่งดู นั่งอ่านหรือให้คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟัง นอกจากนี้การอ่านยังช่วยผ่อนคลายความเครียดให้เด็กได้ เช่น เวลาลูกงอนคุณพ่อคุณแม่ ถ้าได้อ่านหนังสือที่มีเนื้อหาสนุกสนานก็สามารถช่วยให้เด็กผ่อนคลายความเครียดและกลับมาอารมณ์ดีได้ และการอ่านยังช่วยเป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับเด็กๆได้ด้วย
      
       2. ได้จินตนาการ
      
       ภาพและเรื่องราวในหนังสือช่วยปลูกจินตนาการให้กับเด็กๆ ทั้งช่วยต่อยอดความคิดในเรื่องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อย่างเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ เช่น ลูกอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้พิทักษ์โลกหรือฮีโร่ต่างๆ เขาก็จะใช้จินตนาการวาดภาพในสมองว่าเขาเป็นฮีโร่ตามหนังสือที่จะต้องเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ คอยช่วยเหลือผู้อื่น
      
       3. ได้ความรู้
      
       การอ่านสามารถเพิ่มพูนความรู้ให้กับเด็กๆได้โดยตรงในเรื่องของภาษา อีกทั้งยังทำให้ได้รับความรู้ในเรื่องต่างๆตามเนื้อหาของหนังสือแต่ละประเภท เช่น ได้รับความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ เทคโนโลยี ดังนั้น ถ้าเด็กๆได้อ่านหนังสือหลากหลายประเภทก็จะมีความรู้ในด้านต่างๆมาก เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งอ่านมากยิ่งรู้มาก” นั่นเอง
      
       4. ได้จริยธรรม
      
       หนังสือสำหรับเด็กควรสอดแทรกเนื้อหาทางด้านคุณธรรมจริยธรรมไว้ด้วย เช่น เรื่องความรักในเพื่อนมนุษย์ ความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ความกตัญญู ความสามัคคี เพื่อที่เด็กๆจะได้ซึมซับตัวอย่างและคำสอนดีๆที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเหล่านั้นไว้และนำไปปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
      
       ในปัจจุบันทุกประเทศรณรงค์ให้คนอ่านหนังสือให้มาก ๆ เพราะอยากให้คนฉลาด จะฉลาดเรียนหรือฉลาดรู้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกฉลาดก็ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกได้อ่านมาก ๆ อย่าไปกังวลหรืออย่ายึดติดว่าจะหาหนังสือแพงๆสวยๆให้ลูกไม่ได้ ให้คุณพ่อคุณแม่เลือกหนังสือที่เหมาะกับวัยของลูกก็พอหรืออะไรก็ตามที่มีตัวหนังสือก็อ่านได้ทั้งนั้น สมัยก่อน(และยังเป็นอยู่ทุกวันนี้)ผู้เขียนชอบอ่านใบปลิวใบโฆษณาที่เขาแจกฟรี หรือเวลานั่งรถไปโรงเรียนก็ชอบดูชอบอ่านป้ายข้างทางที่มีภาษาเขียนทั้งไทย อังกฤษและภาษาอื่นๆ ทำให้ได้ฝึกการอ่านให้คล่องแคล่ว อ่านได้เร็ว (เพราะรถแล่นผ่านไปเร็ว) ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆที่ยังไม่ได้เรียนในห้องเรียนอีกด้วย (หากเจอคำไหนที่ไม่รู้จักก็รีบเปิดพจนานุกรมดูก็ได้เรียนรู้คำเพิ่มขึ้น) ทั้งยังทำให้การเดินทางไปโรงเรียนเป็นเรื่องสนุก เพลิดเพลินและไม่น่าเบื่อเลย และที่สำคัญคือทำให้เราเป็นคนรักการอ่านที่ได้ผลดีจริงๆ

 
 
Life & Family / ดร.แพง ชินพงศ์