การด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺตะอาลา
  จำนวนคนเข้าชม  12232

 

การด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺตะอาลา


อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์


          ทุกการกระทำที่ถือเป็นการด่าทอ เยาะเย้ยถากถาง หรือหมิ่นเกียรติในความเข้าใจและมุมมองของคนทั่วไป หลักการศาสนาก็ให้ถือเป็นเช่นเดียวกัน เพราะแกนสำคัญของประเด็นนี้คือสิ่งที่เป็นความเข้าใจของคนทั่วไป เช่น การสาปแช่ง การดูหมิ่นดูแคลน การกล่าวถ้อยคำที่หยาบคาย การชี้นิ้วหรือแสดงกิริยาท่าทางที่สื่อความหมายในทำนองที่น่ารังเกียจ ตลอดจนประโยคคำพูดที่ใช้กันระหว่างผู้คนในประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะโดยที่เข้าใจตรงกันว่าเป็นลักษณะของการเย้ยหยันหรือด่าทอ ก็ถือเป็นการด่าทอเช่นเดียวกัน แม้ว่าในประเทศอื่นๆ คำพูดเหล่านั้นไม่ถือเป็นการด่าทอก็ตาม


หุก่มการด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺตะอาลา

          มุสลิมต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺนั้นถือเป็นการปฏิเสธศรัทธา โดยโทษของผู้ที่ด่าทออัลลอฮฺนั้นถึงขั้นประหารชีวิต จะมีความเห็นแตกต่างกันบ้างก็ในประเด็นที่ว่า ถ้าหากผู้กระทำการดังกล่าวทำการเตาบัตกลับตัว การเตาบัตของเขาจะใช้ได้หรือไม่? และการเตาบัตดังกล่าวจะเป็นข้อยกเว้นมิให้เขาต้องรับโทษประหารชีวิตหรือไม่? ซึ่งในประเด็นดังกล่าวนี้อุละมาอ์มีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองทัศนะใหญ่ๆ


 การด่าทอและเยาะเย้ยถากถางนั้นถือเป็นการจาบจ้วงดูหมิ่นที่น่ารังเกียจที่สุดประการหนึ่ง อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

          “แท้จริง บรรดาผู้ที่ให้ร้ายอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ อัลลอฮฺจะทรงสาปแช่งพวกเขาทั้งในโลกนี้และวันอาคิเราะฮฺ และทรงเตรียมการลงโทษอันแสนอัปยศไว้สำหรับพวกเขา และบรรดาผู้ให้ร้ายบรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิงในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำ แน่นอนพวกเขาได้แบกการกล่าวร้าย และบาปอันชัดแจ้งไว้”

(อัลอะหฺซาบ 57-58)

         การจาบจ้วงอัลลอฮฺนั้นมิได้ก่อให้เกิดอันตรายหรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่พระองค์แต่อย่างใด ทั้งนี้ การจาบจ้วงคุกคามนั้นมีสองประเภทคือ การจาบจ้วงที่สร้างความเดือดร้อน กับอีกประเภทที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลานั้น ไม่มีสิ่งใดสร้างความเดือดร้อนแก่พระองค์ได้มีระบุในหะดีษกุดสีย์ว่า อัลลอฮฺตรัสว่า

«يَا عِبَادِي، إِنَّكُمْ لَنْ تَبْلُغُوا ضَرِّي فَتَضُرُّونِ» [مسلم برقم 2577]

“โอ้บ่าวของข้า แท้จริงพวกเจ้าไม่สามารถนำอันตรายมาสู่ตัวข้า จนพวกเจ้าสามารถทำอันตายต่อข้าได้”

(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2577)


           ♣ อัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้ที่ให้ร้ายพระองค์บนโลกนี้และวันอาคิเราะฮฺ การสาปแช่งของอัลลอฮฺ คือการที่พระองค์ทรงขับไล่บ่าวคนหนึ่งจากความเมตตาของพระองค์ และโองการข้างต้นบ่งชี้ว่าพระองค์ทรงขับไล่จากความเมตตาของพระองค์บนโลกนี้ และความเมตตาของพระองค์ในวันอาคิเราะฮฺ ซึ่งบ่าวคนหนึ่งจะไม่ถูกขับไล่จากความเมตตาทั้งสองของพระองค์ นอกจากว่าบ่าวคนนั้นจะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ ที่กล่าวเช่นนั้น

         เนื่องจากว่าอัลลอฮฺได้ตรัสหลังจากนั้นว่า “ผู้ที่ให้ร้ายบรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง” โดยมิได้กล่าวถึงการสาปแช่งต่อบุคคลดังกล่าวทั้งบนโลกนี้และในวันอาคิเราะฮฺ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์จะไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเนื่องจากการให้ร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะด้วยการด่าทอ สาปแช่ง หรือกล่าวหาผู้อื่น แต่มันเป็นเพียงการใส่ร้าย และเป็นบาปที่ชัดแจ้ง หากว่าสิ่งที่ได้กล่าวไว้นั้นไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดเจน

          และอัลลอฮฺก็ทรงบอกว่าพระองค์ได้เตรียม “การลงโทษอันแสนอัปยศ” ไว้สำหรับผู้ที่จาบจ้วงพระองค์ ทั้งนี้ พระองค์มิได้ทรงกล่าวถึงการลงโทษอันแสนอัปยศในอัลกุรอาน เว้นแต่สำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์เท่านั้น

 

         ♥ การด่าทออัลลอฮฺถือเป็นการปฏิเสธศรัทธาขั้นร้ายแรงที่สุด ยิ่งกว่าการปฏิเสธศรัทธาของผู้ที่กราบไหว้เจว็ดในยุคก่อนเสียอีก ทั้งนี้ การที่พวกเขาเคารพบูชาหินนั้น ก็เพราะพวกเขาให้การเคารพต่ออัลลอฮฺ พวกเขามิได้ลดเกียรติพระองค์จนเสมอกับก้อนหินธรรมดา แต่พวกเขายกหินเหล่านั้นขึ้นเทียบเคียงพระองค์ ด้วยเหตุนี้บรรดามุชริกีนผู้ตั้งภาคีจึงกล่าวภายหลังจากที่เข้ารับโทษในนรกว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพวกเราอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง ขณะที่พวกเราทำให้พวกเจ้าเท่าเทียมกับพระเจ้าแห่งสากลโลก”

 (อัช-ชุอะรออ์: 97-98)  

         พวกเขาเหล่านั้นยกสถานะของหินก้อนหนึ่งขึ้นเทียบเคียงอัลลอฮฺ โดยที่มิได้ลดเกียรติของพระองค์ลงมาเทียบเท่าก้อนหิน ทั้งนี้ การที่พวกเขาให้การเคารพหินนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺตามคำกล่าวอ้างของพวกเขา ส่วนการด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺนั้นเท่ากับเป็นการลดเกียรติพระองค์ลงมาต่ำยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก จะเห็นได้ว่าพวกมุชริกีนจะไม่กล่าวด่าทอสาปแช่งพระเจ้าของพวกเขาแม้จะเป็นเพียงการล้อเล่นก็ตาม เพราะพวกเขาให้เกียรติและเคารพภักดีสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น พวกเขาจึงด่าทอต่อต้านผู้ที่กล่าวร้ายต่อสิ่งพวกเขาเคารพนับถือเป็นพระเจ้า และอัลลอฮฺทรงประทานโองการต่อไปนี้ลงมายังศาสนทูตของพระองค์

“และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่าบรรดาสิ่งที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮฺ เป็นการละเมิดโดยปราศจากความรู้”

(อัล-อันอาม: 108) 

         จากโองการดังกล่าว จะเห็นว่าทั้งที่พวกมุชริกีนเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่อัลลอฮฺก็ทรงห้ามศาสนทูตของพระองค์มิให้ด่าว่าสาปแช่งบรรดาเจว็ดและรูปเคารพของพวกเขา ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาทำในสิ่งที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาขั้นร้ายแรงยิ่งกว่าสภาพที่พวกเขาเป็นอยู่ นั่นคือการด่าทอสาปแช่งพระเจ้าของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

 

          ♦ ถ้อยคำด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺบางคำถือเป็นการปฏิเสธศรัทธาที่รุนแรงยิ่งกว่าการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเสียอีก เพราะผู้ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระผู้อภิบาลนั้น จิตใต้สำนึกของเขาบอกว่า  ถ้าหากฉันยอมรับถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ก็เท่ากับว่าฉันได้ยอมรับในความยิ่งใหญ่ของพระองค์และให้การเคารพภักดีต่อพระองค์ ในขณะที่ผู้อ้างตนว่าศรัทธาต่ออัลลอฮฺนั้น เขายอมรับในการมีอยู่ของพระเจ้าของเขา ในขณะเดียวกันเขากลับด่าทอสาปแช่งพระองค์ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ ถือเป็นการแสดงออกถึงความดื้อดึงและท้าทายเสียยิ่งกว่า

         ทั้งนี้ การสร้างเจว็ดหรือรูปเคารพในที่ใดที่หนึ่ง เพื่อทำการเดินเวียน กราบไหว้สักการะ หรือวิงวอนขอสิ่งใด สำหรับอัลลอฮฺแล้วพระองค์ยังทรงนับว่าสิ่งนั้นเบากว่าการด่าทอสาปแช่งพระองค์อย่างแพร่หลายตามสถานที่ชุมนุมชน ถนนหนทาง ตลาด หรือวงสนทนาพูดคุยต่างๆ เสียอีก เพราะการด่าทอพระองค์อย่างเปิดเผยนั้น ถือเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าการนำเอารูปเคารพต่างๆ มาเทียบเคียงเป็นภาคีคู่พระองค์

          แม้ว่าการกระทำทั้งสองล้วนเป็นการปฏิเสธศรัทธา แต่อย่างน้อยผู้ที่ตั้งภาคีก็ยังรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ในขณะที่ผู้ที่ด่าทอพระองค์นั้น เขากำลังดูหมิ่นเกียรติของพระองค์อยู่ และอัลลอฮฺนั้นทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่กล่าวมา

 

         ♣ การด่าทออัลลอฮฺและสาปแช่งพระองค์อย่างแพร่หลายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ถือเป็นความผิดที่อุกอาจยิ่งกว่าการทำให้การผิดประเวณีเป็นที่อนุมัติและถูกกฎหมายในประเทศดังกล่าวเสียอีก และน่ารังเกียจยิ่งกว่าการให้การยอมรับพฤติกรรมของกลุ่มชนนบีลูฏ (ชายรักร่วมเพศ) ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการปฏิเสธศรัทธาในกรณีของการอ้างว่าพฤติกรรมผิดประเวณีเป็นที่อนุมัตินั้น เป็นการปฏิเสธที่มีสาเหตุมาจากการดื้อดึงต่อบัญญัติข้อหนึ่งจากบัญญัติทั้งหลายของอัลลอฮฺ และเป็นการละเมิดบัญชาข้อหนึ่งจากบัญชาทั้งหลายของพระองค์

          ในขณะที่การด่าทอสาปแช่งนั้น เป็นการปฏิเสธศรัทธาที่มีสาเหตุมาจากการปฏิเสธเจ้าแห่งบทบัญญัติ อันนำมาซึ่งการปฏิเสธศรัทธาต่อบทบัญญัติทั้งหมด ซึ่งกรณีหลังนี้ถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงและอุกฉกรรจ์ยิ่งกว่า แม้ว่าการกระทำทั้งสองล้วนเข้าข่ายการปฏิเสธศรัทธาทั้งสิ้น แต่การปฏิเสธนั้นก็มีหลายระดับ เช่นเดียวกับการศรัทธาที่มีหลายระดับ

 

         ♥ เมื่ออัลลอฮฺตรัสถึงการปฏิเสธศรัทธาของชาวคริสต์ ที่จาบจ้วงด่าว่าอัลลอฮฺด้วยการกล่าวใส่ร้ายว่าอัลลอฮฺทรงมีบุตร พระองค์ทรงกล่าวสาธยายถึงความผิดอันใหญ่หลวงของพวกเขา โดยทรงบรรยายความผิดเพี้ยนน่ารังเกียจของคำกล่าวนั้นในลักษณะที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่ากรณีการตั้งภาคีของพวกมุชริกีนและพวกบูชาดวงดาวเสียอีก โดยพระองค์ตรัสว่า

          “และพวกเขากล่าวว่าพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงตั้งบุตรขึ้นเพื่อพระองค์ แน่นอนที่สุด พวกเจ้าได้นำมาซึ่งสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งใหญ่ ชั้นฟ้าทั้งหลายแทบจะพังทลายลงมาและแผ่นดินก็แทบจะถล่มลึกลงไป และขุนเขาทั้งหลายก็แทบจะยุบทลายลงมาเป็นเสี่ยงๆ ที่พวกเขาอ้างพระบุตรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี และไม่เป็นการบังควรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี ที่พระองค์จะทรงตั้งพระบุตรขึ้น ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเว้นแต่เขาจะมายังพระผู้ทรงกรุณาปรานีในฐานะบ่าวคนหนึ่ง แน่นอนที่สุดพระองค์ทรงรอบรู้ถึงพวกเขาและทรงนับพวกเขาอย่างถี่ถ้วนไว้แล้ว และทุกคนในพวกเขาจะมายังพระองค์ในวันกิยามะฮฺอย่างโดดเดี่ยว”

(มัรยัม 88-95)

          ทั้งนี้ เนื่องจากการกล่าวหาว่าอัลลอฮฺทรงมีบุตรนั้น เป็นการจาบจ้วงดูหมิ่นและลดเกียรติพระองค์ จึงเป็นความผิดที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการที่พวกเขาเคารพสักการะอัลลอฮฺโดยนำเอาสิ่งอื่นใดเป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์ ซึ่งเป็นการยกสิ่งถูกสร้างขึ้นให้การเคารพสักการะคู่กับอัลลอฮฺ โดยการกล่าวว่าพระองค์ทรงมีบุตรนั้นเป็นการลดระดับผู้สร้างลงมายังระดับผู้ถูกสร้าง ในขณะที่การกราบไหว้รูปเคารพนั้น เป็นการยกระดับผู้ถูกสร้างให้ขึ้นไปเทียบเคียงผู้สร้าง ซึ่งการลดระดับผู้สร้างนั้นเป็นการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าการยกระดับผู้ถูกสร้าง และเป็นการปฏิเสธศรัทธาที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

          และการด่าทออัลลอฮฺนั้นขัดแย้งอย่างชัดแจ้งกับการศรัทธาภายนอกและภายใน ขัดแย้งกับความเชื่อมั่นในหัวใจที่มีต่ออัลลอฮฺ และการศรัทธาถึงการมีอยู่ของพระองค์ตลอดจนการที่พระองค์คือผู้ที่คู่ควรได้รับการเคารพสักการะ และยังขัดแย้งกับความรักที่มีต่ออัลลอฮฺและการยกย่องให้เกียรติในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะอ้างว่าเคารพนับถือและให้เกียรติใครคนใดคนหนึ่งในขณะเดียวกันคุณกลับด่าทอสาปแช่งเขา ดังเช่นผู้ที่อ้างว่าตนรักและให้เกียรติบิดามารดาในขณะเดียวกันกลับสาปแช่งด่าทอและไม่ให้เกียรติท่านทั้งสอง เช่นนี้แล้วเขาก็คือผู้ที่โกหกดีๆ นี่เอง

เช่นเดียวกันนี้ การด่าทอสาปแช่งอัลลอฮฺก็เป็นการขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับการศรัทธาที่แสดงออกมาภายนอก ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ

 

 

 

ผู้แปล: ทีมงานภาษาไทย เว็บอิสลามเฮ้าส์ / Islamhouse