จุดยืนของมุสลิมกับข้อพิพาทระหว่างศอหาบะห์
  จำนวนคนเข้าชม  2388


จุดยืนของมุสลิมกับข้อพิพาทระหว่างศอหาบะห์


 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

 

         การเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี มูฮัมหมัด  เริ่มต้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องเผยแผ่แบบลับอยู่เป็นเวลาสามปี เพราะสภาพการณ์ในขณะนั้นไม่อำนวยให้ทำการเผยแผ่แบบเปิดเผย เนื่องจากบรรดามุสลิมอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ ไม่มีรัฐอิสลามคอยให้การปกป้อง หลังจากผ่านไปสามปีอัลลอฮ์ได้มีคำสั่งให้ท่านนบี  ทำการเรียกผู้คนมาสู่อิสลามด้วยวิธีการที่เปิดเผย เมื่อจำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นถึงทั้งผู้หญิง และผู้ชาย จำนวนหกสิบคน และมีผู้ที่มีเกียรติจากหลายเผ่าที่ทำการรับอิสลาม แต่เมื่อท่านนบี  ได้ทำการเผยแผ่แบบเปิดเผย การทำร้ายของชาวมักกะห์ที่มีต่อมุสลิมที่อ่อนแอก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น แต่อัลลอฮฺก็ได้ให้บรรดามุสลิมอดทนต่อการทำร้ายจากบรรดาผู้ตั้งภาคี อัลลอฮฺยังไม่ได้มีคำสั่งใช้ให้บรรดามุสลิมทำการสู้รบกับบรรดามุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคี) และในปีที่สิบสามในการแต่งตั้งท่านให้เป็นนบี  นั้น อัลลอฮฺได้มีคำสั่งให้บรรดามุสลิมให้ทำการอพยพไปยังเมืองมาดีนะห์ 

          เนื่องจากในเมืองมาดีนะห์มีมุสลิมที่ได้รับอิสลามที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือสนับสนุนกับท่านนบี  และบรรดาเหล่าศอหาบะห์ของท่านที่เป็นมุสลิมชาวมักกะห์ จึงได้ทำการอพยพเมื่ออัลลอฮฺได้มีคำสั่งลงมา เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัด  ได้อพยพไปยังเมืองมาดีนะห์ท่านก็สามารถที่สร้างสังคมมุสลิมโดยเอาหลักการอิสลามมาใช้เป็นกฎหมายในการปกครอง และทำให้การปกครองในยุคนั้นมีความเข้มแข็ง มุสลิมมีรัฐที่ปกครองตนเอง และมีกองกำลังที่สามารถจะปกป้องประชาชนจากการรุกรานของเหล่าศัตรู มุสลิมมีความเข้มแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ มุสลิมอยู่บนความเป็นเอกภาพไม่มีการสู้รบด้วยกัน และเมื่อท่านนบี มูฮัมหมัด  ได้เสียชีวิตไป บรรดามุสลิมก็ได้ทำการคัดเลือกมีการปรึกษาหารือ จนกระทั่งได้ผู้ดำรงต่ำแหน่งต่อจากท่านนบี  ในการปกครองรัฐอิสลาม และในการดำเนินกิจการของประเทศ 

          โดยที่บรรดามุสลิมได้คัดสรรท่านอาบูบักรฺ อัซซิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งการปกครองต่อจากท่านนบี  แต่ในยุคของท่าน อาบูบักรฺ อัซซิดดีก มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในการปกครองของท่าน เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งได้ละทิ้งอิสลาม โดยมีการปฏิเสธที่จะจ่ายซากาต โดยที่พวกเขาเห็นว่าการจ่ายซากาตหลังจากท่านนบี มูฮัมหมัด  ได้เสียชีวิตไปแล้วนั้นไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ท่านอาบูบักรฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็ได้ปรึกษาหารือจนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นจะต้องทำการสู้รบกับบุคคลที่ปฏิเสธการจ่ายซากาต และท่านก็สามารถแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ แต่ปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างมุสลิมยังไม่เกิดขึ้น 

          จนกระทั่งในยุคของท่านอุมัร บิน คอตต็อบ รอฎิยัลลอฮูอันฮู ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นคอลีฟะห์ มุสลิมก็ยังคงอยู่โดยปราศจากการขัดแย้งในกลุ่มมุสลิม แต่เริ่มมีข้อพิพาท และมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเข้าสู่ยุคของท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน ในการปกครองรัฐอิสลาม เริ่มมีกระแสปลุกปั่นให้มีความเกลียดชังท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน รอฎิยัลลอฮูอันฮู และผู้ที่ปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังแก่ท่านอุสมาน ก็คือ อับดุลลอฮฺ อิบนู ซาบาฮฺ และพรรคพวกของเขา ก็สามารถรวมคนผู้คนมาปิดล้อมบ้านของท่านอุสมาน รอฎิยัลลอฮูอันฮู และจบลงด้วยกับท่าน อุสมานรอฎิยัลลอฮูอันฮู ถูกสังหาร การที่เสียชีวิตของท่านอุสมาน อิบนู อัฟฟานนั้น ถือว่ามันเป็นสาเหตุสำคัญที่ได้นำมุสลิมให้ เกิดการสู้รบระหว่างกัน เสียเลือดเนื้อ ทรัพย์สิน 

          และมีบุคคลสำคัญหลังจากท่าน อุสมาน บิน อัฟฟาน ได้ถูกสังหาร ท่านอะลี บิน อะบีตอลิบ รอฎิยัลลอฮูอันฮู ได้ขึ้นมาดำรงต่ำแหน่งเป็น คอลีฟะห์ ท่านต้องเผชิญหน้ากับท่าน มูฮาวิยะห์ บิน อะบี ซุฟยาน รอฎิยัลลอฮูอันฮูมา ในประเด็นที่ท่านอุสมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ถูกสังหาร โดยที่ท่าน อะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ต้องการให้ท่านมูฮาวิยะห์ ทำการสัตยาบันต่อท่านในการเป็นคอลีฟะห์ผู้นำมุสลิม แต่ท่านมูฮาวิยะห์มีความเห็นว่า ท่านอะลี ต้องทำการจัดการนำตัวบุคคลที่สังหารท่าน อุสมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ มาลงโทษให้เสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วท่านจะยอมรับการให้สัตยาบัน กับ ท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากมุมมองตรงนี้ ทำให้เป็นเหตุให้กองทัพทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน จนมีผู้ล้มตายจากทั้งสองฝ่าย 

แต่เหล่าศอหาบะห์ คือกลุ่มคนที่ดีที่สุด เพราะอัลลอฮ์ ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน

          "มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูด โดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺและความโปรดปราน (ของพระองค์) เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด

           นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีล ประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน

          เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขา (มุสลิมีน) และอัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง"

(อัล-ฟัตห์ - Ayaa 29)

          "บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย

           และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง"

(อัต-เตาบะฮฺ - Ayaa 100)

           ประเด็นความขัดแย้งของเหล่าศอหาบะห์ ถือว่าเป็นประเด็นที่วินิจฉัยระหว่างพวกเขาเอง ใครได้วินิจฉัยถูกต้องเขาก็ได้รับผลบุญสอง ใครวินิจฉัยผิดพลาดก็ได้รับผลบุญหนึ่ง ดังนั้นกับความดีอันมากมายของพวกเขาที่มีต่อศาสนา ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างไม่ได้ทำให้ความดีงามต้องลดลง หรือความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้นมาทำลายความน่าเชื่อถือ พวกเขาเป็นมนุษย์ปถุชนธรรมดาที่ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงความผิดพลาดได้ ความขัดแย้งการสู้รบระหว่างพวกเขานั้นไม่สามารถไปวิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวหาแก่ศอหาบะห์คนหนึ่งคนใดเป็นผู้ที่ผิด หรือเป็นผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม

           เช่น การกล่าวศอหาบะห์ อัมรฺ อิบนุลอาส ว่าเป็นผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมมีความเจ้าเล่ห์ต่อท่าน อะลี รอฎิยัลลอฮูอันฮู ซึ่งตำราบางเล่มได้กล่าว ตำหนิท่าน มูฮาวิยะห์ ในการที่ท่านได้ทำการต่อสู้กับท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ นั้นแค่ต้องการอำนาจการปกครอง ซึ่งการกล่าวหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ไปพาดพิงไปยังเหล่าศอหาบะห์ผู้ทรงเกียรติ ที่อัลลอฮฺได้พอใจต่อพวกเขา ซึงพระองค์ได้กล่าวถึงพวกเขาไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ 

          ดังนั้นตามหลักความเชื่อของอะลุซซุนนะห์ วัลญามาฮะห์ จะต้องไมไปกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างศอหาบะห์ในเชิงวิจารณ์และสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อเหล่าศอหาบะห์ของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ความดีงามของเหล่าศอหาบะห์มีมากมายที่พวกเขาได้เสียสละอดทนในการเชิดชูอิสลาม และต่อสู้ทั้งแรงกายและทรัพย์สินเพื่อให้อิสลามได้สูงส่ง และด้วยความดีงามของพวกเขาอิสลามได้กระจายออกไปในทุกสารทิศในโลกใบนี้ 

          จากเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิพาทในประวัติศาสตร์ได้มีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม พยายามนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นประเด็นลดความน่าเชื่อถือของเหล่าศอหาบะห์ ฉะนั้นหลักความเชื่อของอะลุซซุนนะห์ วัลญามาฮะห์จะไม่พูดถึงเรื่องราวความขัดแย้งที่นำไปสู่การสู้รบและสูญเสียชีวิตระหว่างพวกเขา เช่น การสู้รบในสมรภูมิ ซิฟฟีน ระหว่างท่านมูฮาวิยะห์ และท่านอะลี บิน อะบีตอลิบ (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อพวกเขา) หรือ ในสมรภูมิอูฐที่มีการต่อสู้ ระหว่างกองกำลังของท่านหญิงอาฮิชะห์ รอฎิยัลลอฮูอันฮา กับท่านอะลี รอฎิยัลลอฮูอันฮู เราไม่มีการพูดถึงว่าใครในทางที่เสียหาย เราจะพูดถึงแต่ในด้านดีเท่านั้น และอะลุซซุนนะห์ ต่างก็มีความเชื่อว่าในหมู่พวกเขาไม่มีใครที่ไม่มีความผิดพลาด แต่ความดีงามมีมากกว่า ซึงมีหะดีษมากมายที่กล่าวถึงความดี ซึ่งมีปรากฎใน ซอเอียะทั้งสอง บุคอรีย์ และมุสลิม มีรายงานจากท่าน บัรรอฮ บิน อาซิบ จากท่านนบี  แท้จริงเขาได้กล่าวเกี่ยวกับชาวอันซอร์

"ไม่มีใครรักพวกเขา นอกจากผู้ศรัทธา และไม่มีใครโกรธเกลียดพวกเขา นอกจากผู้กลับกลอก

ใครที่รักพวกเขา อัลลอฮ์ก็รักเขา และใครโกรธเกลียดพวกเขา อัลลอฮ์ก็โกรธเกลียดพวกเขา"

          เครื่องหมายอย่างหนึ่งของผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์รักพวกเขา ก็คือพวกเขามีความรักต่อเหล่าศอหาบะห์ และเครื่องหมายที่ชี้ถึงผู้กลับกลอก(มูนาฟิก)ผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม คือ เขามีความเกลียดชังต่อเหล่าศอหาบะห์ และพยายามสร้างชื่อเสียงในด้านไม่ดีแก่เหล่าศอหาบะห์ เช่น ในยุคของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านนบียังมีชีวิตอยู่ มุนาฟิกได้ฉวยโอกาสในเหตุการณ์หนึ่งเพื่อใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี  คือท่านหญิง อาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา โดยใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี ว่ามีชู้ สุดท้ายอัลลอฮฺได้ประทานอายะห์อัลกุรอานมายืนยันถึงความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา 

          แต่ปัจจุบันมีมุนาฟิกผู้กลับกลอกที่อ้างว่าตัวเองเป็นมุสลิมยังคงใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี  ทั้งที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมายืนยันความบรสุทธิ์ของท่านหญิงอาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา การที่พวกเขายังไม่ยอมรับในเรื่องนี้ เท่ากับเขาปฏิเสธอัลกุรอาน ที่เป็นคำพูดของอัลลอฮฺ แน่นอนผู้ที่ปฏิเสธอัลกุรอาน เขาก็อยู่ในสถานะของผู้ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นมุสลิมเราต้องไม่พูดถึงเหล่าศอหาบะห์ของท่านนบี  ในสิ่งที่เป็นความผิดพลาด อันเนื่องจากความดีที่พวกเขาได้กระทำไม่สามารถเทียบกับความดีอันมากมายที่เราทำในยุคสมัยของเรา ดังเช่นหะดีษ


فقال رسول الله صَلَّى الله عليه وسلم" :لا تسبوا أحدًا من أصحابي، فإن أحدَكم لو أنفق مثَل أحدٍ ذهبًا ما أدرك مُدَّ أحدِهم ولا نَصِيفَهُ

"พวกท่านอย่าได้ด่าคนหนึ่งคนใดจากบรรดาศอหาบะห์ของฉัน

เพราะว่าหากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าหากเขาได้บริจาคทองทำภูเขาหูฮุด

ก็ไม่สามารถเทียบเท่าหนึ่งกำมือของคนหนึ่งจากพวกเขา และไม่เท่าครึ่งหนึ่งของกำมือ"

(บันทึกโดย บุคอรีย์ และมุสลิม)

          คนที่ไม่มีศาสนาเท่านั้นที่เกลียดชังต่อเหล่าศอหาบะห์ ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และการใส่ไคล้แก่บรรดาศอหาบะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ถือว่าเป็นทางของบรรดาศรัตรูอิสลามทั้งในอดีตในปัจจุบันใช้เป็นแนวทางในการทำลายรากฐานของอิสลาม เพราะบรรดาศอหาบะห์ คือผู้ที่เข้าใจศาสนาดีที่สุด ผู้เข้าใจอัลกุรอาน และคำพูดของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดีที่สุด การทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขา ก็คือการทำลายหลักการอิสลามอีกวิธีหนึ่ง 

           ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่จะต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกียรติของบรรดาศอหาบะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม จากกลุ่มที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม จะต้องกล่าวแต่สิ่งดีและระงับลิ้นของเราที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องราวที่เป็นข้อพิพาท การสู้รบระหว่างพวกเขา ไปในทางที่เสียหาย เพราะอัลลอฮได้รับรองพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน ถึงความดีงามความประเสริฐ และอัลลอฮ์ทรงพอพระทัยพวกเขาทั้งหมด


          ขออัลลอฮ์ ได้โปรดประทานแนวทางที่เที่ยงตรงให้แก่บรรดามุสลิม ได้เจริญรอยตามแนวทางของบรรพชนแห่งคุณธรรมในอดีตที่พวกเขาเจริญตามแนวทางของท่านนบี  และปกป้องเราให้รอดพ้นจากแนวทางแห่งความหลงผิด  อามีน