10 โอวาท แด่ มุสลิมะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  10953


10 โอวาท แด่ มุสลิมะฮฺ 

แปลและเรียบเรียงโดย อัลดุลวาเฮด สุคนธา

 

ข้อหนึ่ง 

 

           สตรีมุสลีมะฮฺจะต้องศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และ ท่านร่อซูลลอฮฺ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นท่านนบี และ อิสลามคือศาสนา ด้วยการเชื่อมั่นทั้งวาจา ใจ และ นำมาซึ่งการปฏิบัติ ละทิ้งสิ่งที่ต้องห้าม เกรงกลัวต่อบทลงโทษ

อัลลอฮ์ ได้ตรัสว่า

          " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ร่อซูลของพระองค์ และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ประทานลงมาก่อนนั้น "

( อันนิซาอฺ 136)

ดำรัสของพระองค์

ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว

(ซูเราะฮฺ อันนิซาอ์ อายะฮฺ 80)

          และในหลายอายะฮฺได้สั่งใช้ให้เราเชื่อฟังอัลลอฮฺ พร้อมทั้งร่อซูลของพระองค์ หะดิษบทหนึ่งรายงานจาก ท่านหญิงอาอิชะห์ (รอดิยัลลอฮฺฮุอันฮา) เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า

          “ผู้ใดอุตริสิ่งใหม่ขึ้นในการงานของเรา โดยที่การงานนั้นไม่มีอยู่ในการงานของเรา ถือว่า(การงานนั้น)ถูกปฏิเสธ

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)

 

ข้อสอง 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺจะต้องละหมาดห้าเวลาด้วยการปฏิบัติละหมาดอย่างสงบนิ่ง ละทิ้งสิ่งต่าง ๆก่อให้เกิดความยุ่งยากในละหมาด เพราะแท้จริงการละหมาดนั้นช่วยยับยั้งจากสิ่งที่ไม่ดี 

อัลลอฮฺ ตรัสความว่า

          “และจงดำรงการละหมาด แท้จริงการละหมาดนั้นยับยั้ง (ผู้ละหมาดที่มีความบริสุทธิ์ใจ) จากการลามกและการชั่วช้าได้

 (อังกะบูต (45)

          ท่านรอซูลลุลลฮ์ (ศ็อลฯ) เปรียบเทียบการละหมาด 5 เวลา เหมือนการอาบน้ำจากลำน้ำหน้าบ้าน 5 เวลาต่อวัน"การอาบน้ำขจัดความสกปรกได้ฉันใด การละหมาด 5 เวลา ก็ลบล้างความผิดได้ฉันนั้น

(บันทึกของบุคอรี, มุสลิม)

 

ข้อสาม 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺจะต้องสวมฮิญาบ ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด ตามหลักที่ศาสนากำหนด อย่าออกนอกบ้านเว้นแต่จะต้องแต่งกายให้เรียบร้อย

     อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า

          "โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ"

(ซูเราะฮ์ อัลอะหซาบ 59)

     จากอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่า ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า

          "มีสองจำพวกของชาวนรก ซึ่งฉันยังไม่เห็นสองจำพวกนั้น พวกหนึ่งที่มีแซ่เหมือนหางวัว พวกเขาใช้ตีผู้คนทั้งหลาย และสตรีแต่งกายไม่มิดชิด เดินโชว์สัดส่วนใส่เครื่องหอม ศีรษะของพวกนางเหมือนตะโหนกอูฐที่เอียง นางเหล่านั้นจะมิได้เข้าสวรรค์ พวกนางจะไม่ได้กลิ่นของสวรรค์"

(บันทึกอยู่ในเศาะเฮี๊ยะมุสลิม)

     มีรายงานจากท่านอบีมูซา อัลอัชอารีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุแจ้งว่า ท่านร่อซูลลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวัซัลลัม กล่าวว่า

          “เมื่อสตรีคนใดใส่น้ำหอมและเดินผ่านกลุ่มคนเพื่อให้ได้กลิ่นหอมจากตัวนาง ก็เท่ากับนางเป็นผู้ทำซินา

 (บันทึกโดย อัลบัยฮะกีย์ อัลฮากิมและ อิบนิฮิบบาน)

 

ข้อที่สี่ 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺจะต้องเชื่อฟังสามีของนาง ปฏิบัติอย่างดียิ่งใช้ชีวิตด้วยกันตามหลักศาสนา ตักเตือนซึ่งกันละกัน อย่าได้ขึ้นเสียง พูดจาหยาบคาย ก้าวร้าวต่อสามี การที่ภรรยาต้องเชื่อฟังสามีก็เพราะว่าสามี มีฐานะเป็นผู้ปกครองดูแล เป็นผู้คุ้มครอง ผู้จ่ายค่าสมรสและค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่ภรรยา ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้ 

ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า

          “บรรดาผู้ชายนั้น คือ ผู้ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาสตรี เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา บรรดาภริยาที่ดีนั้นคือผู้จงรักภักดี ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลังสามีเนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้

(สูเราะฮฺ อันนิสาอฺ อายะฮฺที่34)

          อายะฮฺนี้เป็นการบอกเล่ามีความหมายเชิงคำสั่งให้ภรรยาเชื่อฟังสามี และปฏิบัติหน้าที่รักษาทรัพย์สินของสามี และรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองในขณะสามีไม่อยู่

          ส่วนคำว่า الرجال قوامون على النساء คือสามีนั้นถูกกำหนดให้เป็นผู้ดำเนินกิจการของภรรยา และสั่งสอนนาง และต้องให้นางอยู่ในบ้าน สามีมีสิทธิ์เหนือกว่าภรรยา คือสิทธิ์การเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า ซึ่งหน้าที่ของภรรยาในฐานะเป็นผู้ตาม หรือเป็นผู้ที่อยู่ใต้การดูแลของสามีที่เขาต้องปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ภรรยา ในทางที่ดีภรรยาต้องเชื่อฟังสามี

ท่านนบี ได้กล่าวว่า

          “หากผู้หญิงคนหนึ่งคนใดรักษาเวลาละหมาด 5 เวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเรียบร้อย เชื่อฟังสามี(ในสิ่งที่ถูกต้อง) อัลลอฮฺจะบอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า เชิญเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้

 (บันทึกโดยอะหมัดและอิบนิฮิบบาน)

ท่านรสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงความประเสริฐของภรรยาที่เชื่อฟังสามี ว่า

          “สตรีประเภทใดดีที่สุด ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวว่า สตรีเมื่อสามีมองนางแล้ว เกิดความประทับใจ และนางเชื่อฟังเมื่อสามีสั่ง

(รายงานโดยอันนะสาอีย์)

รายงานจากอัลหุศัยน์ บิน มิหศัน ( เราะฎิยั้ลลอฮฺอันฮ์ )

เขากล่าวว่าป้าของเขาได้มาพบท่านนบี เพราะมีธุระ หลังเสร็จธุระของนาง

ท่านนบี กล่าวถามนางว่า ท่านมีสามีหรือ

นางกล่าวตอบว่า มี 

ท่านนบี ถามอีกว่า ท่านปฏิบัติอย่างไรต่อสามี

นางกล่าวตอบว่า ฉันไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ของฉันเลย เว้นแต่สิ่งที่ฉันไม่สามารถปฏิบัติได้

(อะหมัด)

 

ข้อที่ห้า 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺคือแม่จะต้องเลี้ยงดู อบรมลูกๆให้เชื่อฟังและปฏิบัติในหลักการของศาสนา ปลูกฝังให้จิตใจของเขานั้นรักอัลลอฮฺ และท่านนร่อซูลลอฮฺ หลีกห่างสิ่งที่เป็นบาป และมารยาทที่ไม่ดี

อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ความว่า

          “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงคุ้มครองตัวของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจากไฟนรก เพราะเชื้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้อนหิน มี มลาอิกะฮ์ผู้แข็งกร้าวหาญคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา” 

(ซูเราะห์อัตตะหรีม : 6)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

"ผู้ปกครองไม่ได้ให้ของขวัญใดกับลูกที่จะดีไปกว่ามารยาทที่ดีงาม"

          การเลี้ยงดูลูกเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะแม่ควรกระตือรือร้นป้องกันลูกไม่ให้หลง สร้างอุดมคติของศาสนาอิสลาม พยายามอย่างมากที่จะกระทำตามกุรอานและซุนนะฮฺ

          ในซูเราะฮฺนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ความสำคัญของซูเราะฮฺนี้อยู่ที่ข้อตักเตือนที่ลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของท่าน ซึ่งเด่นที่สุดในบรรดาข้อตักเตือนที่มีอยู่ในอัลกุรอาน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้เล่าประวัติของท่านลุกมานดังระบุ

          “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺมาถึงคำสั่งสอนที่ท่านลุกมานกล่าวกับบุตร เป็นอุทาหรณ์ที่มีคุณค่ามากในประวัติศาสตร์ของบรรดาผู้ศรัทธา อัลลอฮฺ ตรัสในอัลกุรอานว่า

         “และจงรำลึก เมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแน่นอน” 

(ลุกมาน 13)

 

ข้อที่หก 

 

           ห้ามสตรีมุสลีมะฮฺเดินทางกับคนที่ไม่ใช่มะรอมของนาง ดังนั้นการเดินทางของสตรีเพียงลำพัง ซึ่งปราศจากมะฮรอมนั้นจึงไม่เป็นที่อนุมัติ ในศาสนาอิสลาม ซึ่งมีฮาดิษ ท่านรอซูล ได้กล่าวว่าแก่บรรดาซอฮาบะฮว่า :

     “สตรีนั้นไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินทางวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เว้นเสียแต่ว่านางจะมีมะฮรอมร่วมเดินทางไปกับนางด้วย

     เมื่อท่านนบีพูดจบ ได้มีซอฮาบะฮท่านหนึ่ง ได้ลุกขึ้นกล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้ ท่านรอซูล ของพระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงฉันได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารเพื่อเข้าปฏิบัติการทางทหาร แต่ภรรยาของผมกำลังจะออกเดินทางเพื่อไปทำฮัจญ์

     เมื่อท่านนบี ได้ยินเช่นนั้น ท่านได้กล่าวกับซอฮาบะฮ์ว่า : ท่านจงออกเดินทางและไปทำฮัจญ์ร่วมกับนางเถิด 

(ศาะฮีหฺอัลบุคอรีย์)

จากท่านอิบนุ อับบาส ว่า ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า

          “ชายต้องไม่อยู่กับหญิงตามลำพัง เว้นแต่ต้องมีมะหฺร็อม และหญิงจะไม่เดินทางเว้นแต่มีมะหฺร็อมเดินทางไปด้วย

 (รายงานโดยมุสลิม)

สำหรับเงื่อนไขของบุคคลที่จะสามารถเป็นมะฮรอม 5 เงื่อนไขดังต่อไปนี้

- เขาต้องเป็นบุรุษเพศ

- เขาต้องเป็นมุสลิม

- เขาต้องบรรลุศาสนภาวะ

- เขาเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ

- เขาต้องไม่มีความสัมพันธ์ที่จะแต่งงานกับสตรีที่เขาจะเป็นมะฮรอมให้ได้อย่างถาวร

 

ข้อที่เจ็ด 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺห้ามแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย เนื่องจากมีหลักฐาน บัญญัติห้ามเอาไว้ ในอัลหะดีษว่า

          “พระองค์อัลลอฮฺทรงสาปแช่ง ผู้ชายที่สวมใส่ อาภรณ์ของผู้หญิง และผู้หญิงที่สวมใส่ อาภรณ์ของผู้ชาย เช่นเดียวกันพระองค์ทรงสาปแช่ง บรรดาผู้ชาย ที่เลียนแบบผู้หญิง และบรรดาผู้หญิง ที่เลียนแบบผู้ชาย” 

(รายงานโดยอบูดาวูด)

จากหนังสือเศาะเฮี๊ยะอิมามอะหมัด รายงานจาก อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร ว่า แท้จริง ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า

          "สามคนที่ไม่ได้เข้าสวรรค์ และอัลลอฮ์ จะไม่ทรงมองพวกเขาในวันกิยามะฮ์ คือ คนที่เนรคุณต่อบิดามารดาของเขา หญิงที่แต่งตัวแบบผู้ชาย และคนที่มีชู้"

          เหล่านี้เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้หญิงแต่งตัวแบบผู้ชาย หรือผู้ชายแต่งตัวแบบผู้หญิง หรือการเลียนแบบในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้เครื่องนุ่งห่ม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ตามแฟชั่นต่างๆของคนกาเฟร

ท่านนบี ศ็อลลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"ผู้ใดเลียนแบบกลุ่มชนใดเขาก็คือส่วนหนึ่งจากกลุ่มชนนั้น” 

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย)

 

ข้อที่แปด 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺต้องทำหน้าที่เรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺในหมู่บรรดาสตรีด้วยกัน ด้วยคำพูดที่ดี การเยี่ยมเยียน พบปะ แนะนำ ตักเตือนในสิ่งที่ดีและบอกกันในสิ่งที่เป็นบาป ดำรัสของ อัลลอฮ์ตะอาลาที่ ตรัสว่า 

          “ท่านจงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้า ด้วยวิทยปัญญา และคำตักเตือนที่ดีๆ และจงตอบโต้พวกเขา ด้วยกับสิ่งที่ดีที่สุด” 

(ซูเราะห์ อันนะฮ์ลุ อายะห์ 125)

จากท่านอบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า: “ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ กล่าวว่า:

ใครก็ตามในหมู่พวกท่านพบเห็นความชั่วอันใดอันหนึ่ง เขาก็จงเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขา

หากเขาไม่มีความสามารถก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยลิ้น(ด้วยคำพูดหรือการตักเตือน)ของเขา

หากเขาไม่มีความสามารถก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยใจ(ปฏิเสธด้วยใจ)ของเขา และนั่นคือการศรัทธาที่อ่อนแอที่สุด

( หะดีษนี้บันทึกโดยมุสลิม)

 

ข้อที่เก้า 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺต้องปกป้องจิตใจและร่างกายของนางให้รอดพ้นจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ สิ่งเคลือบแคลงจิตใจทั้งหลาย หูฟังสิ่งที่ไม่ดี สายตามองสิ่งที่ต้องห้าม อวัยวะร่างกายทุกส่วน จงมีความยำเกรงตลอดเวลา

           จริยธรรม ประการหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่ควบคู่ กับเรื่องของการศรัทธา ที่ชี้ให้เห็นถึงการมีการตักวา ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ก็คือเรื่องของความละอาย ส่วนหนึ่งจากบัญญัติ ที่คงความเป็นอมตะ และเป็นบัญญัติ ที่มีความสำคัญ ก็คือ เรื่องของ การมีความละอาย

ได้มีรายงานเล่าว่า ท่านร่อซูลุ้ลเลาะฮ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า

          “ส่วนหนึ่งสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลาย ได้รู้จากคำประกาศกล่าว ของบรรดานบีในยุคก่อน ก็คือ เมื่อท่านไม่มีความละอาย ก็จงปฏิบัติในสิ่งที่ท่าน มีความปราถนาต้องการเถิด

(โดยท่านอีหม่ามบุคอรีย์)

           ดังนั้น จะเห็นได้จากฮะดีษนี้ว่า เรื่องของความละอาย เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้ศรัทธา ในฮะดีษของท่านนบี อีกบทหนึ่ง ที่ยืนยันถึงความสำคัญ ของการมีความละอาย คือฮะดีษที่รายงาน โดยท่านอะบูฮุรอยเราะฮ์

อีหม่านที่มีความสมบูรณ์นั้น ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ ๗๐ กว่าประการ หรือ ๖๐ กว่าประการ

           สำหรับบรรดาสตรีมุสลิมะฮฺทั้งหลายที่มีความละอายในตัวของนาง ความละอาย เป็นสิ่งที่จะนำพวกนางไปสู่สิ่งที่เป็นคุณงามความดีทั้งมวล และเป็นสิ่งที่จะสกัดกั้น ไม่ให้พวกนางทั้งหลาย ไปในทางเสื่อมเสีย เป็นสิ่งที่เป็นความผิด เป็นความชั่ว เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ความละอายที่แท้จริง คือ การมีความละอายต่ออัลลอฮฺ

 

ข้อที่สิบ 

 

          สตรีมุสลีมะฮฺต้องใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อย่าใช้เวลาส่วนมากการนินทา ใส้ร้ายป้ายสี อย่าหลงไหลในโลกดุนยาเป็นที่สถานที่สนุกสนาน รื่นเริง ความฟุ้งเฟ้อ ผู้ที่ไม่ศรัทธาในโลกหน้าจะหลง ระเริงกับความสุขสบาย การโอ้อวดกัน พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

          “พึงทราบเถิดว่าแท้จริงการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มิใช่อื่นใด เว้นแต่เป็นการละเล่นและการสนุกสนานร่าเริง และเครื่องประดับและความโอ้อวดระหว่างพวกเจ้า และการแข่งขันกัน สะสมในทรัพย์สินและลูกหลาน

 

          ท่านเราะซูล ได้อธิบายความไม่ถาวรของโลกนี้ในหะดีษบทหนึ่งที่รายงานโดย อับดุลลอฮ์ บุตรอุมัรว่า วันหนึ่งท่านเราะซูล ได้จับไหล่ของข้าพเจ้าและกล่าวว่า

เธอจงอยู่บนโลกนี้เสมือนกับคนแปลกหน้า หรือเสมือนผู้ที่กำลังเดินทาง" 

          อับดุลลอฮ์ บุตรอุมัรได้อธิบายประโยคที่ท่านรสูลได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อคุณมีชีวิตอยู่ในตอนเย็น(คุณจงปฏิบัติหน้าที่) และอย่ารอจนเช้ารุ่งขึ้น และเมื่อคุณมีชีวิตอยู่ในตอนเช้า คุณอย่ารอช่วงเย็น และจงฉกฉวยโอกาสของการมีสุขภาพดีเพื่อวันเจ็บป่วย และจงฉกฉวยโอกาสของการมีชีวิตอยู่เพื่อวันตาย

( บุคอรีย์)

พระองค์อัลลอฮ์ ได้กล่าวถึงสถาพของผู้ที่ชอบนินทาผู้อื่น ไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า

          “และอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งของพวกเจ้าชอบหรือที่เขาจะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้ว แน่นอนพวกเจ้ารังเกียจมัน

(ฮุดญุรอต 21)

ตัวอย่างของการนินทา

     ตัวอย่างที่หนึ่ง เช่น เราได้ดูถูกพี่น้องของเราว่าเตี้ยบ้าง สูงบ้าง ตัวดำบ้าง หรืออื่นจากนี้ ซึ่งเป็นการดูถูกเหยียดหยาม

          มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์โดยที่ฉันได้กล่าวแก่ท่านนะบีว่า เพียงพอแล้วสำหรับท่าน ซอฟียะ อย่างนั้นๆผู้รายงานได้กล่าวว่า หมายถึง ตัวเตี้ย 

          และท่านนะบีได้กล่าวว่าแน่นอนเธอได้พูดคำพูดหนึ่งหากเอามันไปผสมกับน้ำทะเลแล้ว จะทำให้น้ำทะเลเสีย ...” 

(บันทึกโดย อะหมัด อิบนุอะบิดดุนยา)

 

          อุปสรรคที่ขัดขวางการปฏิบัติอิบาดะฮฺของมุสลิมะฮฺ คือ การดูละคร, การคุยโทรศัพท์, การใช้อินเตอร์เน็ต ส่วนอุปสรรคในการสำรวมตน คือ นัฟซูของตัวเธอ และศัตรูอิสลามที่ต้องการให้มุสลิมะฮฺตามแฟชั่นของเขา เพราะแฟชั่นนั้นจะสวนทางกับหลักการของท่านนบี

          สิ่งที่อยู่ในตัวของบรรดามุสลิมะฮฺที่จะทำให้พวกนางเข้านรก ได้แก่ ความอิจฉา

ซึ่งท่านนบี ได้กล่าวว่า

 “ความอิจฉาจะทำลายความดี อุปมาดังไฟที่มันเผาฟืน

 (บันทึกโดยอิบนฺมาญะฮฺ)

           ความอิจฉานั้นจะทำลายผลบุญที่ได้ทำไว้ การนินทาก็เป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับผู้หญิงเช่นกัน เพราะส่วนมากผู้หญิงจะว่างกว่าผู้ชาย การทำอุบายหรืออุปกรณ์ในการทำอุบาย เช่น โทรศัพท์ การพูดคุยระหว่างสตรีในเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องระหว่างสามีภรรยา

 

          โอวาทอันล้ำค่าแด่บรรดาสตรีมุสลิมะฮฺทั้งหลายจะต้องรักษาเพื่อหวังในความพอพระทัยของอัลลอฮฺ ตะอาลาในโลกนี้และโลกหน้า อามีน

 

 

 

ที่มา เว็ป صيد الفوائد