จำเป็นต้องไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดเป็นประจำทุกเวลา
  จำนวนคนเข้าชม  2413


จำเป็นต้องไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดเป็นประจำทุกเวลา

 

นำเสนอโดย อบู อามิร 

จากเอกสารของมัสญิดอัลฮะรอมมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ

 

          ผู้ที่เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแท้จริงเถิด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องการละหมาดเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เป็นร่อซูลผู้ทรงเกียรติของพระองค์ ก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน

 

        อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีบัญชาให้รักษาและดำรงการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺไว้ ดังนั้น การละหมาดที่มัสญิดจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผย

 

          การละหมาดเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด นับเป็นอิบาดะฮฺที่ประเสริฐเลิศที่สุด เป็นการทำตัวให้ใกล้ชิดของผู้เป็นบ่าวต่อพระเจ้าของเขาที่ดีที่สุด

         อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงแจ้งให้ทราบว่า การเพิกเฉยละเลย และเกียจคร้านต่อการไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดนั้น เป็นลักษณะของคนที่หน้าไหว้หลังหลอก ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 

     “และเมื่อพวกเขา (บรรดามุนาฟิกีน) ลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นไปอย่างเกียจคร้าน เพื่อให้ผู้คนได้เห็นเท่านั้น และพวกเขาก็จะไม่กล่าวรำลึกนึกถึงอัลลอฮฺ นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

(อันนิซาอฺ 4 : 142)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

     “และพวกเขาจะไม่มาละหมาดนอกจากจะมาอย่างเกียจคร้านเท่านั้น และพวกเขาจะไม่บริจาค (จ่ายซะกาต) นอกจากด้วยความฝืนใจเท่านั้น

(อัตเตาบะฮฺ 9 : 54)

 

          บรรดาหลักฐานที่ระบุว่าจำเป็น สำหรับผู้ชายที่จะต้องไปละหมาดเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิดนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งนี้ ก็เพื่อความชัดเจนในการเป็นมุสลิมของเรา-ท่านทั้งหลาย นอกจากในกรณีที่มีอุปสรรคจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ขออัลลอฮฺทรงให้เรา-ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ดำรงรักษาการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ บรรดาบ้าน (มัสญิด) ของอัลลอฮฺ เอาไว้อย่างเหนียวแน่นมั่นคงตลอดไปด้วยเถิด

 

สำหรับหลักฐานต่างๆ นั้น มีดังต่อไปนี้

 

ประการที่หนึ่ง หลักฐานจากอัลกุรอาน

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงจ่ายซะกาต และจงก้มรุกู๊อฺพร้อมกับบรรดาผู้ที่ก้มรุกู๊อฺทั้งหลาย

(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 43)

         จงดำรงละหมาดพร้อมกันเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด นี่เป็นการเน้นย้ำว่าจะต้องละหมาดพร้อมกับผู้คนทั้งหลายเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิดเท่านั้น

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

     “และเมื่อเจ้า (มุฮัมมัด) อยู่ในพวกเขา แล้วเจ้าได้ให้พวกเขากระทำละหมาด ดังนั้น กลุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็จงยืนขึ้นละหมาดพร้อมกับเจ้าและให้พวกเขาถืออาวุธของพวกเขาเอาไว้ด้วย

(อันนิซาอฺ 4 : 102)

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำหนดว่า จำเป็นที่มุสลิมต้องละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ แม้ขณะอยู่ในสนามรบ ขณะเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู ในขณะขับขี่พาหนะ ขณะอยู่ในภาวะคับขัน เสี่ยงต่อภัยอันตรายจากการจู่โจมของบรรดาข้าศึกศัตรูได้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า การละหมาดเป็น ญะมาอะฮฺในยามสงบสุขปลอดภัยนั้นเป็นการสมควรยิ่งกว่า และเน้นย้ำให้มีการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ แม้ในยามศึกสงคราม จะทิ้งไม่ได้เป็นอันขาด

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสอีกว่า

     “วันที่หน้าแข้งจะถูกเลิกขึ้นมา (วันกิยามะฮฺ) และพวกเขาจะถูกเรียกมาให้ทำการสุญูด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะสุญูดได้ สายตาของพวกเขาจะละห้อย ความต่ำต้อยจะแผ่ปกคลุมพวกเขา

     และแท้จริง พวกเขาเคยถูกเรียกให้มาสุญูดกันแล้วในโลกดุนยา ขณะที่พวกเขายังคงอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย สุขสมบูรณ์ แต่พวกเขากลับไม่ยอมสุญูด ด้วยความหยิ่งยโสและปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา

     ดังนั้น จงปล่อยให้ข้า (อัลลอฮฺ) จัดการกับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้เอง เรา (อัลลอฮฺ) จะจัดการลงโทษพวกเขาทีละขั้น ละตอน จนกระทั่งพินาศ โดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้สึกตัว

(อัลกอลัม 68 : 42-44)

กะอ์บฺ ผู้นำศาสนาของยิว (อะฮฺบ๊าร) กล่าวว่า

     “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า อายะฮฺนี้มิได้ถูกประทานลงมา นอกจากแก่บรรดาผู้ที่ละเมิด ฝ่าฝืนไม่ยอมไปละหมาดญะมาอะฮฺ

 

 

ประการที่สอง หลักฐานจากอัซซุนนะฮฺที่ระบุว่า จำเป็นจะต้องไปละหมาดเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด

 

1. ในซอเฮียะฮฺ อิมามมุสลิม อบี ดาวู๊ด และอิบนิ ฮิบบาน จากสำนวนของอบี ดาวู๊ด จากรายงานของอิบนิ อุมมิ มั๊กตูม แจ้งว่า

 

    “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ แท้จริง ฉันเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นทาง บ้านอยู่ไกลจากมัสญิด ไม่มีคนจูงไปมัสญิด ฉันจะได้รับการผ่อนผันให้ละหมาดที่บ้านของฉันได้หรือไม่

     ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ท่านได้ยินเสียงอะซานเรียกให้ไปละหมาดที่มัสญิดหรือไม่

     เขาตอบว่าครับ ได้ยิน” 

     ท่านร่อซูลก็กล่าวว่า ฉันไม่พบข้อผ่อนปรนใดๆ ให้กับท่าน

(บันทึกโดย อบู ดาวู๊ด)

          ดังนั้น เมื่อท่านนบีไม่ยอมผ่อนปรนให้กับผู้ที่มีอุปสรรคทั้งๆ ที่เป็นคนตาบอด ไม่มีคนพาไปมัสญิด แถมบ้านยังอยู่ไกลจากมัสญิดอีกด้วย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ตาดี มีบ้านอยู่ในละแวกใกล้ๆ มัสญิด และไม่มีอุปสรรคใดๆ อีกด้วย จะไม่ไปละหมาดที่มัสญิดได้อย่างไร?

 

2. ในซอเฮียะฮฺทั้งสองของอิมาม อัลบุคอรีย์และอิมาม มุสลิม มีรายงานจากอบี ฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “ที่จริง ฉันตั้งใจจะให้มีการอิกอมะฮฺละหมาด แล้วฉันจะให้คนหนึ่งขึ้นไปเป็นอิมามนำผู้คนละหมาด และฉันกับผู้ชายอีกหลายๆ คน จะไปมัดฟืน เพื่อเอาไปจุดไฟเผาบ้านของพวกที่ไม่ยอมมาละหมาดที่มัสญิด!”

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

          และไม่มีอะไรจะมาหักห้ามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิให้กระทำเช่นนั้น นอกจากบรรดาผู้หญิง เด็ก และบรรดาผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่น คนป่วย เป็นต้น

 

3. มีรายงานจากอบีอัดดัรด๊าอฺ แจ้งว่า ได้ยินท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “หากมีคนสามคน ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท แล้วไม่มีการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ ชัยฏอนก็จะเข้ามาครอบงำพวกเขา ดังนั้น จำเป็นที่ท่านจะต้องละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ เพราะแท้จริง หมาป่าจะกินแกะที่แตกออกจากฝูง

(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)

          ผู้ที่รายงานฮะดิษนี้คนหนึ่งที่ชื่ออัซซาอิบกล่าวว่าหมายถึง การละหมาดเป็นญะมาอะฮฺนั่นเอง” (นำเสนอโดยอบูดาวู๊ด อันนะซาอีย์ และอิบนุ ฮิบบาน กล่าวว่า เป็นฮะดิษ ซอเฮียะฮฺ)

 

4. มีรายงานจากอิบนิ อับบ๊าส แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “ผู้ใดที่ได้ยินเสียงอะซาน เรียกให้ไปละหมาดที่มัสญิด แล้วเขาไม่ตอบรับ ดังนั้น จึงไม่มีการละหมาดสำหรับเขา (การละหมาดที่บ้านของเขาใช้ไม่ได้) นอกจากผู้มีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

(นำเสนอโดย อบู ดาวู๊ด อิบนิ มาญะฮฺ อิบนิ ฮิบบาน และอัลฮากิม ระบุว่า เป็นฮะดิษ ซอเฮียะฮฺ)

 

5. ในหนังสือซอเฮียะฮฺ อัลญามิอฺระบุว่า ท่านอิบนิ อับบ๊าส แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “ผู้ใดได้ยินเสียงอะซานเรียกให้ไปละหมาดที่มัสญิด และไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวางเขามิให้ไป การละหมาดที่เขาละหมาดไปนั้นก็จะไม่ได้รับการตอบรับ 

     มีผู้กล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ อุปสรรคที่ว่านั้นคืออะไร

     ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า คือ ความหวาดกลัว หรือการเจ็บไข้ได้ป่วย

(บันทึกโดย อบูดาวู๊ด อิบนิ มาญะฮฺ อิบนิ ฮิบบาน ได้นำเสนอในซอเฮียะฮฺของท่าน และอัล อัลบานีย์ถือว่าเป็นฮะดิษซอเฮียะฮฺ)

 

ประการที่สาม คำพูดของบรรดาซอฮาบะฮฺ ที่ชี้ให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องไปละหมาดเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด

 

1. มีรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ มัสอู๊ด กล่าวว่า

 

     “ผู้ใดที่ปรารถนาจะพบกับอัลลอฮฺในวันพรุ่งนี้ (วันกิยามะฮฺ) ในฐานะที่เป็นมุสลิม ก็จงรักษาละหมาดทั้งห้าเวลาเอาไว้ เมื่อมีการอะซานเรียกให้ไปละหมาดที่มัสญิด เพราะอัลลอฮฺทรงบัญญัติแนวทางอันถูกต้องเที่ยงตรงให้แก่นบีของพวกท่าน (ซุนะนัลฮุดา)

     แท้จริง การละหมาดห้าเวลานั้นคือซุนะนัลฮุดาและหากว่า พวกท่านละหมาดห้าเวลาของพวกท่านเหมือนกับชายคนนั้นที่ละหมาดที่บ้านของเขา แน่นอน พวกท่านได้ละทิ้งแนวทาง (ซุนนะฮฺ) ของนบีของพวกท่านเสียแล้ว และหากพวกท่านละทิ้งซุนนะฮฺของนบีของพวกท่าน แน่นอนพวกท่านย่อมหลงทางเสียแล้ว

     แท้จริง ฉันเห็นว่าในหมู่พวกเรานั้น ไม่มีผู้ใดที่ไม่ไปละหมาดที่มัสญิด นอกจากมุนาฟิกที่การนิฟ๊ากของพวกเขานั้น เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว และแท้จริงชายคนนั้น มาละหมาดที่มัสญิด โดยมีชายสองคนหิ้วปีกประคองเขามาจนกระทั่งถึงแถวละหมาด จนกระทั่งเขายืนละหมาดอยู่ในแถว

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม ในซอเฮียะฮฺของท่าน)

 

2. มีรายงานจาก อุมมิ อัดดัรด๊าอฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา แจ้งว่า

 

     “อบู อัรดัรด๊าอฺได้เข้ามายังฉันในสภาพที่โกรธจัด ฉันจึงถามว่ามีอะไรทำให้ท่านโกรธด้วยหรือ?

     เขากล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า สิ่งที่ฉันเคยรู้เกี่ยวกับประชาชาติ (อุมมะฮฺ) ของท่านนบีมุฮัมมัดนั้น มีอยู่ประการเดียวเท่านั้น คือ การที่พวกเขาไปละหมาดเป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิด!

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ในซอเฮียะฮฺของท่าน)

 

3. ท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ตอบผู้ที่ถามท่าน

 

     “มีผู้ถามท่าน อิบนุ อับบ๊าส ว่า มีชายคนหนึ่งถือศีลอด ในตอนกลางวันและลุกขึ้นละหมาดในตอนกลางคืน แต่เขามิได้ไปละหมาดวันศุกร์ และมิได้ไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิด ชายคนนี้จะเป็นอย่างไร

     ท่าน อิบนิ อับบ๊าส กล่าวว่าเขาอยู่ในนรก

(บันทึกโดย อิมาม อัตติรมิซีย์)

 

4. ท่านอิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า

 

     “เมื่อคนหนึ่งคนใดในพวกเราไม่ได้มาร่วมละหมาดอิซาอฺ ในช่วงสุดท้ายของกลางคืน และในเวลาซุบฮฺ เราก็จะนึกคิดถึงเขาในแง่ไม่ดี

(บันทึกโดย อิบนิ คุซัยมะฮฺ ในซอเฮียะฮฺของท่าน)

          นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอีกมากมาย ที่ยกมานั้นเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อเป็นการตักเตือนซึ่งกันและกัน เพราะการตักเตือนกันนั้น จะเป็นประโยชน์สำหรับบรรดาผู้ศรัทธา

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

และจงตักเตือนกันเถิด เพราะแท้จริง การตักเตือนกันนั้นจะเป็นประโยชน์สำหรับบรรดาผู้ศรัทธา

(อัซซาริย๊าต 51 : 55)

 

          ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงรักษาการละหมาดของพวกท่านให้เป็นญะมาอะฮฺที่มัสญิดซึ่งเป็นบ้านของพระเจ้าของพวกท่านกันไว้เถิด จงบูรณะฟื้นฟูมัสญิดให้มีชีวิตชีวาด้วยกับการไปละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ ไปอ่าน ไปศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจอัลกุรอานและศาสนาอิสลาม ไปกล่าวตัสบี๊ฮฺ และตะฮฺมี๊ดที่มัสญิด กันเถิด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “แท้จริง ผู้ที่จะบูรณะ ฟื้นฟูบรรดามัสญิดของอัลลอฮฺก็คือ ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ ดำรงการละหมาดเอาไว้ และจ่ายซะกาตและเขามิได้เกรงกลัวผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ดังนั้น จึงหวัง ได้ว่า ชนเหล่านี้แหละ คือ บรรดาผู้ที่ได้รับการชี้นำสู่หนทางอันถูกต้องเที่ยงตรง

(อัตเตาบะฮฺ 9 : 18)

 

ประโยชน์ของการไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดนั้น มีมากมาย นั่นก็คือ

- เป็นการทำความรู้จักกันระหว่างพี่น้องมุสลิมด้วยกัน

- เป็นการช่วยเหลือสนับสนุนกันในเรื่องของคุณความดี และความเกรงกลัวอัลลอฮฺ

- เป็นการแนะนำตักเตือนกันด้วยกับความจริง และด้วยความอดทน

- เป็นการสนับสนุนให้กำลังใจผู้ที่มาละหมาดทีหลัง หรือมาไม่ทัน

- เป็นการสอนเตือนผู้ที่ไม่รู้

- เป็นการเตือนผู้ที่เพิกเฉย ละเลย

- เป็นการขจัดการนิฟ๊าก และห่างไกลจากแนวทางของพวกเขา

- เป็นการทำให้สัญลักษณ์ของอัลลอฮฺ (ชะอาอิริลลาฮฺ) เป็นที่ปรากฏชัดเจนในระหว่างบรรดาบ่าวของพระองค์

- เป็นการเรียกร้องเชิญชวน (ดะอฺวะฮฺ) ไปสู่อัลลอฮฺด้วยกับคำพูดและการกระทำ

- เป็นการบูรณะฟื้นฟูบรรดามัสญิดของอัลลอฮฺ ด้วยการรำลึกนึกถึงอัลลอฮฺ (ซิกรุลลอฮฺ) ฯลฯ

 

          ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานความสำเร็จ และความถูกต้องสัตย์จริงให้กับเรา ท่านทั้งหลายด้วยเถิด

 

 

อนุสรณ์ งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร