อย่างคลั่งไคล้ในตัวบุคคล
  จำนวนคนเข้าชม  470

อย่างคลั่งไคล้ในตัวบุคคล

 

อาบีดีณ โยธาสมุทร  แปลเรียบเรียง

 

ครูบาอาจารย์ต้องไม่สร้างค่านิยมยึดติดอย่างคลั่งไคล้ในตัวบุคคลให้แก่ศิษย์ !

 

 

          “...และไม่มีสิทธ์ที่ครูท่านใดสักท่านจะมาทำพันธสัญญาผูกมัดกับผู้ใดสักคนไว้ว่า จะต้องให้เขาผู้นั้นเห็นด้วยกับตนในทุกๆอย่างที่ตนต้องการ และจะต้องนับพวกกับคนที่ตนนับเป็นพวก ต่อต้านและตั้งตนเป็นอริกับคนที่ตนตั้งตนเป็นอริด้วย เพราะใครที่มาทำแบบนี้เขาก็เป็นประเภทเดียวกันกับเจนกิสคาน และพวกคนที่อยู่ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ที่จะพากันจัดให้บุคคลที่เห็นด้วยกับพวกตนมาอยู่ในสถานะมิตรสหายและพวกพ้อง ส่วนบุคคลใดที่ค้านกับพวกตนก็จะถูกจัดให้เป็นศัตรูผู้ระรานไปโดยปริยาย

 

          แต่ที่ต้องเป็นสำหรับตัวของพวกท่านและบรรดาบุคคลผู้ติดตามพวกท่านคือ การทำพันธสัญญาต่ออัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ว่าจะภักดีต่ออัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ และจะกระทำตามที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงสั่ง และกำหนดให้เรื่องที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงห้ามไว้เป็นเรื่องต้องห้าม และดูแลสิทธิของบรรดาครูๆ ทั้งหลาย ตามที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงสั่งไว้ ถ้ามีครูท่านใดสักท่านโดนอธรรม เขาก็จะเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุน ส่วนถ้ามีครูท่านไหนเป็นคนอธรรม เขาก็จะไม่ให้การสนับสนุนครูท่านนั้นในการอธรรม แต่จะเข้าไปหักห้ามท่านจากการอธรรมเสียแทน...

 

 

          เมื่อไหร่ที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างครูท่านหนึ่งกับครูอีกท่านหนึ่ง หรือระหว่างนักเรียนคนหนึ่งกับนักเรียนอีกคนหนึ่ง หรือระหว่างระหว่างครูท่านหนึ่งกับนักเรียนคนหนึ่ง ในกรณีนี้ก็ไม่อนุญาตให้ใครสักคนเข้าไปสนับสนุนผู้ใดสักคนจากทั้งสองฝ่ายจนกว่าเขาจะรู้ความจริงและความถูกต้องเสียก่อน เพื่อที่เขาจะได้ไม่เข้าไปให้การสบับสนุนด้วยกับความเขลาและด้วยกับอารมณ์

 

 

          แต่ให้พิจารณาประเด็นที่เกิดขึ้นดู ว่า เมื่อไหร่ที่ชัดเจนแล้วว่า เขาผู้นั้นเป็นเจ้าของความถูกต้องจริง ๆ ก็ค่อยเข้าไปสนับสนุนผู้ที่เป็นเจ้าของความถูกต้องจากทั้งสองฝ่ายให้มีชัยเหนือคนผิด ไม่ว่าเจ้าของความถูกต้องผู้นี้จะเป็นพรรคพวกของเขาหรือเป็นพรรคพวกของบุคคลอื่น และไม่ว่าคนผิดผู้นี้จะเป็นพรรคพวกของเขา หรือเป็นพรรคพวกของบุคคลอื่นๆ ก็ตามที 

 

           เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเท่ากับว่า เป้าประสงค์ที่ต้องการก็คือ การสักการะและภักดีอย่างไร้เงื่อนไขต่ออัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น, การเชื่อฟังท่านร่อซู้ลของพระองค์, การดำเนินตามความถูกต้องและการดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั่นเอง...

 

 

          ส่วนใครที่ยอมคล้อยตามไปกับพวกพ้องของตน ไม่ว่าความถูกต้องจะอยู่ที่เขาคนนั้นหรืออยู่ที่คนอื่นก็ตามที ก็เท่ากับว่าเขาผู้นี้ได้เข้ามาทำการตัดสินด้วยกับการตัดสินของพวกญาฮิลียะฮฺเข้าเสียแล้ว และเท่ากับว่าเขาได้หลุดออกไปจากคำตัดสินของ อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ไปเสียแล้วอีกด้วย 

 

          ซึ่งหน้าที่ของพวกท่านเหล่านี้ทุกๆ คนคือ จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการสนับสนุนฝ่ายที่เป็นเจ้าของความถูกต้องให้มีชัยเหนือฝ่ายผิด เพื่อที่จะให้บุคคลที่มีเกียรติในมุมของพวกเขา เป็นบุคคลที่ได้แก่ คนที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงให้เกียรติ...และบุคคลที่ไร้เกียรติในมุมของพวกเขา คือ บุคคลที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงทำให้เขาไร้เกียรติ ด้วยกับการว่าตามความพอพระทัยของอัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยกับการว่าตามอารมณ์...

 

          และเมื่อใดที่บรรดาท่านทั้งหลายสามัคคีกันบนการเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ และให้การสนับสนุนกันในคุณธรรมและความยำเกรง เมื่อนั้นแต่ละคนก็จะไม่มีทางอยู่เคียงข้างใครคนใดแม้สักคนเดียวในทุกๆเรื่อง แต่พวกเขาจะอยู่เคียงข้างกับคนทุกคนในการเชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ และจะไม่อยู่ร่วมกับใครสักคนในการฝ่าฝืนอัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ แต่จะให้การสนับสนุนต่อกันบนความสัจจริง, บนความยุติธรรม, บนการทำดี, บนการใช้กันในเรื่องดีห้ามกันจากเรื่องผิด, บนการช่วยเหลือผู้ที่โดนอธรรมและบนทุกๆเรื่องที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงรัก 

 

           ในขณะเดียวกันก็จะไม่สนับสนุนกันบนการอธรรม, บนความเป็นพวกเป็นพ้องกันอย่างพวกญาฮิลียะฮฺ, บนการตามอารมณ์อย่างไร้ทางนำจากอัลลอฮฺ, บนการแตกแยกและขัดแย้ง และบนการยึดติดในตัวบุคคลๆใดบุคคลหนึ่งโดยว่าตามที่เขาว่าเสียหมดทุกอย่าง... แต่อย่างใด...

 

 

           ทั้งนี้ เพราะเรื่องฮะล้าลคือ เรื่องที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่ามันฮะล้าล ส่วนเรื่องที่ฮะรอมก็คือ เรื่องที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่ามันฮะรอม และศาสนาก็คือ สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้นนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสักคนแม้จะเป็นเชค, เป็นราชาหรือเป็นนักวิชาการ...ที่จะขยับออกจากกรอบนี้ไปได้เลย...

 

          ดังนั้น ก็ในเมื่อขนาดบรรดาบุคคลที่เป็นเชคและเป็นนักวิชาการ สภาพการณ์และคำพูดคำจาของพวกท่าน ยังมีทั้งที่เป็นเรื่องที่ดีและที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี, มีทั้งเรื่องที่ถูกทางและเรื่องที่หลงทาง, มีทั้งเรื่องที่เที่ยงธรรมและเรื่องที่ละเมิด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ๆพวกท่านจะต้องนำสภาพการณ์และคำพูดเหล่านี้กลับเข้าหาอัลลอฮฺและร่อซู้ล โดยให้รับเฉพาะสิ่งที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ทรงรับและไม่รับสิ่งที่อัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ไม่ทรงรับเลย 

          แล้วประสาอะไรกันกับบรรดาบุคคลที่เป็นครูๆเหล่านี้และบรรดาบุคคลที่อยู่ในทำนองเดียวกันกับพวกท่านเล่าครับ?!...”

ชัยคุ้ลอิสลาม อะฮฺหมัด บุตร อับดุลฮะลีมอิบุตัยมียะฮฺ” -ร่อฮิมะฮุ้ลลออฮฺ-

(مجموع فتاوى شيخ الإسلام أحمد بن تيمية، ج28، ص16-25)

 

 

          “...บรรดานักวิชาการที่อยู่ร่วมรุ่นกันก็ยังคงจะมีการกล่าววิจารณ์กันและกันอยู่เรื่อยไป ตามแต่ที่แต่ละท่านวินิจฉัยและเห็นควร 

          ซึ่งทุกๆคน คำพูดของเขานั้นย่อมสามารถถูกยึดถือและถูกโยนทิ้งได้ด้วยกันทั้งนั้น นอกจากท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม เท่านั้น

 

(ميزان الاعتدال، ج5، ص429)

อิหม่าม มุฮัมหมัด บุตร อะฮฺหมัด อั้ซซะฮะบียฺ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ-