แนวทางซอลาหุดดีนอัลอัยยูบีย์ในการปลดปล่อยบัยตุลมักดิส
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
บัยตุลมักดิส: ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และข้ออ้างแห่งความขัดแย้ง
บัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม เป็นกิบละฮ์แรก (ทิศทางการละหมาด) ของบรรดามุสลิมก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกะอฺบะฮ์ในนครมักกะฮ์ และยังเป็นสถานที่ซึ่งท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ﷺ ได้เดินทาง อิสรออฺ จากมักกะฮ์มายังบัยตุลมักดิส และจากที่นั่นได้ เมี๊ยะรอจ ขึ้นไปยังฟากฟ้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีการกล่าวถึงในอัลกุรอาน (ซูเราะฮ์ อัลอิสรออ์)
พื้นที่แห่งนี้จึงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งในมิติทางศาสนา สังคม และการเมือง โดยเฉพาะในบริบทของโลกอิสลาม บัยตุลมักดิสถือเป็นหนึ่งในสามมัสยิดที่มีความประเสริฐสูงสุด ที่บรรดามุสลิมสามารถเดินทางไปเยี่ยมเยียนและทำการละหมาด ที่มัสยิดอัลอัคซอจะได้ผลบุญถึง 500 เท่า
อย่างไรก็ตาม พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งนับตั้งแต่การเข้ามาของขบวนการไซออนิสม์ ที่อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของทางศาสนาและประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะภายหลังการก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งตามมาด้วยการขยายเขตแดน การตั้งนิคมชาวยิว และการผลักไสชาวปาเลสไตน์ออกจากถิ่นฐานของตนอย่างเป็นระบบ
ขบวนการไซออนิสต์ใช้ข้ออ้างทางศาสนาและประวัติศาสตร์ว่า พวกเขามีสิทธิในการฟื้นฟู "แผ่นดินพันธสัญญา" ซึ่งในความเป็นจริง ข้ออ้างดังกล่าวถูกโต้แย้งทั้งในมิติของประวัติศาสตร์ วิชาการ และศาสนา อีกทั้งยังขัดกับหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ
น่าเศร้าใจว่า มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาได้ให้การสนับสนุนรัฐอิสราเอลอย่างชัดเจน ทั้งด้านการทูต การทหาร และเศรษฐกิจ จนกลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การยึดครองปาเลสไตน์ยังคงดำเนินต่อไป และส่งผลให้สถานการณ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังคงตึงเครียดและมีความรุนแรงอยู่เสมอ
สถานการณ์ในปาเลสไตน์ ณ ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและการเอาเปรียบอย่างยิ่งที่ประชาชนชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญภายใต้การยึดครองของรัฐอิสราเอล การกระทำของกองกำลังยิวไม่เพียงแต่เป็นการทิ้งระเบิดในลักษณะรายวัน หากยังรวมถึงการทำลายบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนผู้บริสุทธิ์
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในขอบเขตของการป้องกันตนเองหรือการต่อสู้กับฝ่ายติดอาวุธ หากแต่หลายครั้งมีลักษณะของการโจมตีที่ไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของเด็ก ผู้หญิง และผู้สูงอายุจำนวนมาก นักสิทธิมนุษยชนและองค์การระหว่างประเทศจำนวนมากได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับ “การล้างเผ่าพันธุ์” (الإبادة الجماعية) และการก่ออาชญากรรมสงคราม (جرائم حرب)
ภาพของโรงเรียนที่พังราบ โรงพยาบาลที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และศพของผู้บริสุทธิ์ที่ไร้ที่หลบภัย คือหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นต่อชาวปาเลสไตน์ ภายใต้สายตาของโลกที่บางครั้งก็เงียบเฉย หรือบางครั้งก็ถูกควบคุมโดยผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ
น่าเจ็บปวดยิ่งนักที่ประชาคมโลก โดยเฉพาะมหาอำนาจบางประเทศ กลับเพิกเฉยหรือแม้แต่ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในนามของ “การป้องกันตนเอง” ขณะที่ผู้ที่ถูกยึดครองและตกเป็นเหยื่อกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายรุนแรง ทั้งที่พวกเขาเพียงปกป้องบ้านเกิดและชีวิตของตน
หัวใจที่ไม่ยอมจำนน : ความกล้าหาญของชาวปาเลสไตน์ท่ามกลางการยึดครอง แม้ต้องเผชิญกับอำนาจทางการทหารอันมหาศาลและการยึดครองอย่างไม่เป็นธรรม ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากยังคงยืนหยัด ไม่ยอมละทิ้งบ้านเกิดของตน แม้พวกเขาจะไร้อาวุธและปราศจากการสนับสนุนในระดับที่เท่าเทียมกับฝ่ายผู้ยึดครอง
เด็กชาวปาเลสไตน์จำนวนมากเติบโตขึ้นท่ามกลางสงครามและเสียงระเบิด สิ่งที่พวกเขามีไม่ใช่ปืนกลหรือขีปนาวุธ หากแต่เป็นเพียงก้อนหินในมือเล็ก ๆ ซึ่งถูกขว้างไปยังรถถังหรือทหารอิสราเอลที่ติดอาวุธครบมือ ฉากนี้ไม่ใช่เพียงภาพสัญลักษณ์ของความไม่สมดุลทางอำนาจ แต่ยังสะท้อนถึงความกล้าหาญ ความหวัง และการปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อความอยุติธรรม
ในขณะเดียวกัน กลุ่มติดอาวุธบางส่วนในปาเลสไตน์ได้พยายามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาชนของตน อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงอำนาจทั้งทางการทหารและการเมือง รัฐอิสราเอลได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐอเมริกา ทั้งในรูปของเงินทุน อาวุธยุทโธปกรณ์ และการสนับสนุนทางการทูต
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้การต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ เปรียบเสมือนการต่อสู้ของ ดาวุด กับโกลิอัท ในยุคสมัยใหม่ ความไม่สมดุลที่เห็นได้ชัดนี้กลับไม่สามารถดับไฟแห่งการยืนหยัด ความหวัง และศรัทธาของประชาชนผู้ยึดมั่นในสิทธิของตนเอง
ในอดีต นครบัยตุลมักดิส เคยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวคริสเตียนจากกองทัพครูเสด อุดมการณ์อันแน่วแน่และจิตวิญญาณแห่งอิสลาม แม่ทัพอิสลามนามว่า ซอลาหุดดีน อัล-อัยยูบีย์ (صلاح الدين الأيوبي) ผู้ไม่เคยยอมรับการที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องอยู่ในเงื้อมมือของผู้ยึดครอง
ด้วยความศรัทธาอันมั่นคง การเตรียมการอย่างรอบคอบ และความเสียสละ ซอลาหุดดีนสามารถรวมความเป็นหนึ่งในหมู่ชาวมุสลิม และนำทัพเข้าสู่สมรภูมิจนสามารถ ปลดปล่อยนครบัยตุลมักดิส ให้กลับคืนสู่อ้อมอกของประชาชาติมุสลิมได้อีกครั้งในปีฮ.ศ. 583 / ค.ศ. 1187
ชัยชนะของเขาไม่ใช่เพียงแค่ชัยชนะทางทหาร แต่ยังเป็นชัยชนะของ คุณธรรม ความเมตตา และความยุติธรรม ที่โลกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์จนถึงวันนี้
เรามาทำความรู้จักกับบุคคลที่มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามคนหนึ่ง ที่เป็นวีรษุรุษนักรบผู้ทรงธรรม และเป็นผู้ทำสงครามครูเสดกับชาวยุโรปที่เข้ามายึดครอง บัยตุลมักดิส
ประวัติศาสตร์ของซอลาหุดดีน อัลอัยยูบีย์
ซอลาหุดดีน อัลอัยยูบีย์ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลดปล่อยนครเยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส) จากการยึดครองของครูเสดคริสเตียนในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ความสามารถทั้งในด้านการทหารและการปกครองของเขา รวมถึงคุณธรรม ความยุติธรรม และความเมตตา ทำให้เขาได้รับการยอมรับทั้งในหมู่ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ในยุคนั้น
กำเนิดและวัยเยาว์ ซอลาหุดดีนเกิดในปี ค.ศ. 1137 หรือ 1138 (ฮ.ศ. 532) ณ เมืองตีกรีต ในอิรักปัจจุบัน เขาเป็นชาวเคิร์ด มาจากครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ เขาเติบโตในเมืองดามัสกัสและโมซูล ได้รับการศึกษาทางศาสนาและการทหารภายใต้การอุปถัมภ์ของนอรุดดีน มะห์มูด ซันกียฺ
การขึ้นสู่อำนาจ ในปี ค.ศ. 1169 ซอลาหุดดีนได้รับตำแหน่งเป็นอุปราชแห่งอียิปต์ภายใต้รัฐซัลญูก ต่อมาเขาสามารถกำราบราชวงค์ชีอะฮ์ฟาติมีย์ และฟื้นฟูแนวทางซุนนีในอียิปต์ หลังจากนอรุดดีนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1174 ซอลาหุดดีนรวมอียิปต์ ซีเรีย และฮิญาซเข้าเป็นรัฐเดียวภายใต้การปกครองของเขา
การปลดปล่อยบัยตุลมักดิส
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของซอลาหุดดีนคือการปลดปล่อยนครเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 1187 หลังจากมีชัยในยุทธการฮิฏฏีน ที่ทำลายกำลังรบของครูเสดอย่างราบคาบ เขาสามารถเข้ายึดเยรูซาเล็มโดยแทบไม่มีการเสียเลือดเนื้อ พลเรือนคริสเตียนได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองอย่างปลอดภัย ซึ่งตรงกันข้ามกับเหตุการณ์เมื่อคริสเตียนยึดเมืองในปี ค.ศ. 1099 ที่มีการสังหารหมู่ชาวมุสลิมและยิวอย่างโหดเหี้ยม
บุคลิกและมรดก ซอลาหุดดีนเป็นผู้นำที่เคร่งศาสนา มีคุณธรรม และยุติธรรม เขาชอบศึกษาทำความเข้าใจอัลกุรอ่านและหะดีษ ให้เกียรติผู้ที่มีความรู้ เขาได้รับความเคารพจากศัตรู แม้กระทั่งริชาร์ด ใจสิงห์ แห่งอังกฤษในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่สาม เพราะเป็นบุคคลที่รักษาคำมั่นสัญญา
หลังจากปลดปล่อยเยรูซาเล็ม ซอลาหุดดีนยังคงรักษาความสงบในดินแดนของเขาและให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ผู้คน ไม่มีการล้างแค้นแก่ชาวคริสเตียนที่พ่ายแพ้ ไม่มีการสังหารผู้ที่ยอมจำนน
การเสียชีวิต ซอลาหุดดีนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1193 (ฮ.ศ. 589) ที่เมืองดามัสกัส หลังจากประสบความสำเร็จในการรวมโลกมุสลิมและรักษาเกียรติของอิสลามไว้ได้ เขาจากไปอย่างสมถะ โดยไม่มีทรัพย์สินมากพอสำหรับค่าจัดงานศพ
การฟื้นฟูเอกภาพของประชาชาติมุสลิมโดยซอลาหุดดีน อัล-อัยยูบี เมื่อพิจารณาชีวประวัติของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกอิสลามอย่าง **ซอลาหุดดีน อัล-อัยยูบี** (صلاح الدين الأيوبي รอฮิมาอุลลอฮฺ) เราจะพบว่า ท่านมิได้เป็นเพียงนักรบผู้กล้าหาญเท่านั้น หากแต่ยังเป็นบุคคลที่มีความเคร่งครัดในศาสนา และให้ความสำคัญในการเรียนรู้หลักการของอิสลาม และมีวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่กว้างไกล
ในหนังสือ *صلاح الدين الأيوبي وجهوده في القضاء على الدولة الفاطمية وتحرير بيت المقدس* (โดย ดร. อะลี มุฮัมมัด อัซ-ซอลลาบี) ได้ระบุถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ของซอลาหุดดีนว่า
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้มุสลิมไม่สามารถนำ **บัยตุลมักดิส** กลับคืนมาจากการยึดครองของพวกครูเสดได้ คือ **การแตกแยกภายในประชาคมมุสลิมเอง ในเวลานั้น โลกมุสลิมถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจใหญ่ ได้แก่ - รัฐสุนนี ที่มีศูนย์กลางอยู่ในซีเรียและอิรัก - กับ รัฐชีอะฮ์ฟาฏิมียะฮ์** (الدولة الفاطمية) ซึ่งมีอำนาจในอียิปต์
รัฐฟาฏิมียะฮ์แม้จะนับว่ามีชื่อว่าเป็นรัฐมุสลิม แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้ร่วมมือในการป้องกันศัตรูจากภายนอก หากแต่กลับเป็นอุปสรรคต่อการรวมตัวของประชาชาติมุสลิม เพื่อปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเยรูซาเล็ม ซอลาหุดดีนจึงได้ตั้งเป้าหมาย **ล้มล้างอำนาจของรัฐชีอะฮ์ฟาฏิมียะฮ์** เพื่อขจัดอุปสรรคในการรวมเอกภาพของประชาคมมุสลิม
ท่านเริ่มจากการเข้าควบคุมอียิปต์อย่างรอบคอบ ปรับโครงสร้างการปกครอง และ **ยุติระบบการปกครองของฟาฏิมียะฮ์อย่างถาวร** ในปี ฮ.ศ. 567 (ค.ศ. 1171) หลังจากนั้น ท่านได้ดำเนินการ **ฟื้นฟูแนวทางอะฮฺลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์** โดยสร้างสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียนมาดะริสชาฟีอียะฮ์ และมัรอกิซ อัล-อะกีดะฮ์ เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้เข้าใจศาสนา
ในที่สุด ซอลาหุดดีนสามารถรวมอียิปต์ ซีเรีย ฮิญาซ และอิรักเข้าด้วยกันภายใต้ร่มธงเดียวกัน และดำเนินการปลดปล่อยบัยตุลมักดิสได้สำเร็จในปี ฮ.ศ. 583 (ค.ศ. 1187) หลังจากชัยชนะในการรบที่ **หะฏฏีน (معركة حطين)** ซึ่งนับเป็นหนึ่งในชัยชนะทางทหารและจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม
ดังนั้น จึงไม่อาจคาดหวังได้ว่ากลุ่มชีอะฮ์จะเป็นผู้นำในการปลดปล่อยปาเลสไตน์ เนื่องจากในหลักความเชื่อของพวกเขา การปลดปล่อยบัยตุลมักดิสหรือเยรูซาเล็มนั้น จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าอิหม่ามมะห์ดี จะปรากฏตัวและเป็นผู้นำการปลดปล่อย ซึ่งเป็นความเชื่อเฉพาะของชีอะฮ์อิมามสิบสอง
โดยมองว่าการปรากฏของอิหม่ามมะห์ดีจะเป็นจุดเริ่มต้นของความยุติธรรมที่แท้จริงและชัยชนะเหนือศัตรู ในขณะที่แนวทางของอะฮฺลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์ ไม่ได้ผูกพันการญิฮาดหรือการปลดปล่อยแผ่นดินอิสลามไว้กับการปรากฏตัวของอิหม่ามมะห์ดีแต่อย่างใด หากแต่ถือว่าเป็นหน้าที่ของประชาคมมุสลิมในทุกยุคทุกสมัย ที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้กับการยึดครองและฟื้นฟูเกียรติของศาสนา
ด้วยเหตุนี้ การที่กลุ่มชีอะฮ์บางส่วนออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนประชาคมมุสลิมในการปลดปล่อยปาเลสไตน์ โดยการตะโกนคำขวัญหรือจัดกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ต่าง ๆ จึงอาจถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง มากกว่าจะเป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับหลักความเชื่อของพวกเขาเอง
เนื่องจากในหลักอากีดะฮ์ของชีอะฮ์อิมามสิบสองนั้น การปลดปล่อยบัยตุลมักดิสจะต้องเกิดขึ้นภายใต้การนำของอิหม่ามมะห์ดี ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ายังอยู่ในสภาพ “ซ่อนตัว” (غيبة) ดังนั้น การแสดงออกเหล่านั้นจึงอาจถูกตีความว่าเป็นความพยายามสร้างภาพลักษณ์ในสายตาของชาวโลกมุสลิมว่า ชีอะฮ์ยังยืนหยัดเคียงข้างประชาชาติ ทั้งที่ในทางปฏิบัติ ความเคลื่อนไหวทางทหารหรือการเมืองของพวกเขาในภูมิภาค กลับมุ่งไปสู่การขยายอิทธิพลของนิกาย มากกว่าการรวมพลังกับโลกมุสลิมในแนวทางที่นำไปสู่เอกภาพที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้ บางฝ่ายจึงตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีเหล่านี้เป็นเพียงการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง โดยใช้ประเด็นปาเลสไตน์เป็นเครื่องมือในการขยายบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาค มากกว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่ออิสลามโดยบริสุทธิ์ใจ