การละเลยประวัติศาสตร์อันขมขื่นของชีอะฮ์ต่ออะฮฺลุซซุนนะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  37

เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล : การละเลยประวัติศาสตร์อันขมขื่นของชีอะฮ์ต่ออะฮฺลุซซุนนะฮฺ

 

เรียบเรียงโดย....อิสมาอีล  กอเซ็ม 

 

          ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนไม่น้อยในหมู่ชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺกลับแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อบทบาทของอิหร่านหรือกลุ่มชีอะฮ์ในสนามรบ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาประกาศตนว่าเป็นผู้ต่อต้านไซออนิสต์และปกป้องอัลกุดส์ อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นไปที่ศัตรูร่วมนี้ได้ทำให้บางคนมองข้ามหรือแม้กระทั่งลืมเลือนประวัติศาสตร์อันขมขื่นที่ยาวนาน ซึ่งกลุ่มชีอะฮ์ในหลากหลายยุคสมัยได้กระทำต่อชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ทั้งในด้านการกดขี่ การทรยศ และการสังหารหมู่ในหลายเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์

 

          วีรกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางแนวคิดเท่านั้น หากแต่ได้แปรเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและเกียรติของชาวซุนนีในหลายดินแดน ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน มิใช่เพียงการประเมินจากภาพลักษณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่อาจบดบังความจริงบางประการไว้

 

 

จุดยืนทางความเชื่อของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง ต่อศอหาบะฮ์ และอะฮฺลุซซุนนะฮฺ

 

          เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักวิชาการอิสลามและผู้ศึกษาศาสนา ว่าหลักความเชื่อของกลุ่มชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง (الشيعة الإمامية الإثنا عشرية) มีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อบรรดาศอหาบะฮ์ส่วนใหญ่ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ โดยเฉพาะบรรดาคิลาฟะอ์อย่างอบูบักร, อุมัร และอุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ซึ่งพวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศต่ออิมามอะลี และยึดอำนาจคอลีฟะฮ์โดยไม่ชอบธรรม

 

          เอกสารจำนวนมากในตำราหลักของกลุ่มชีอะฮ์ เช่น "บิฮาร อัลอันวาร" (بحار الأنوار) ของอัลมัจลีซีย์ ได้ระบุถึงการแสดงความเกลียดชังต่อศอหาบะฮ์ และถือว่าการละหมาดโดยกล่าวลาอ์น (اللعن) ต่อพวกเขาเป็นสิ่งมีคุณค่าในทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีตำราที่ระบุว่า ชีวิตของชาวซุนนีไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ในทัศนะของบางกลุ่มในหมู่ชีอะฮ์ โดยถือว่าอะฮฺลุซซุนนะฮฺเป็น "นะวาศิบ" (نواصب) คือผู้ที่แสดงความเกลียดชังต่ออิมามอะลี และด้วยเหตุนี้จึงถูกมองว่าเป็นศัตรูของอะฮฺลุลบัยต์

 

          นักวิชาการซุนนีจำนวนมาก เช่น เชคอิบนุตัยมียะฮ์, อัล-ดะห์บีย์, และเชคอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญิบรีน ได้ออกมาชี้แจงถึงความอันตรายของแนวคิดเหล่านี้ ซึ่งนำไปสู่การให้ความชอบธรรมแก่การก่อความรุนแรงและการทรยศต่อชาวซุนนีในหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะในสมัยการล่มสลายของกรุงแบกแดดโดยกองทัพมองโกลหรือในบริบทสมัยใหม่

 

 

ท่าทีที่แท้จริงของชีอะฮ์ : มุมมองจากประวัติศาสตร์และหลักความเชื่อ

 

          เมื่อพิจารณาทั้งจากหลักความเชื่อที่ได้รับการประมวลไว้ในตำราหลักของกลุ่มชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง ตลอดจนประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งกับชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะยอมรับได้ว่ากลุ่มชีอะฮ์มีความจริงใจต่อพี่น้องมุสลิมซุนนี ทั้งในด้านแนวคิด ความร่วมมือ หรือเป้าหมายร่วมทางศาสนา

 

          ในความเป็นจริง แนวทางของพวกเขาได้วางรากฐานอยู่บนการไม่ยอมรับศอหาบะฮ์ส่วนใหญ่ และการถือว่าชาวซุนนีเป็น "นะวาศิบ" (نواصب) ผู้เป็นศัตรูของอะฮฺลุลบัยต์ ซึ่งในทัศนะของพวกเขาถือเป็นกลุ่มที่เบี่ยงเบนจากศาสนา ดังนั้นการมีท่าทีที่แฝงด้วยความเป็นมิตรต่ออะฮฺลุซซุนนะฮฺในทางการเมืองหรือสื่อ จึงไม่อาจสะท้อนถึงเจตนาที่แท้จริงในทางอากีดะฮ์

 

          ในทำนองเดียวกัน ความพยายามของอิหร่านหรือกลุ่มชีอะฮ์ในการประกาศตนว่าเป็น "แนวต้าน" ต่อต้านอิสราเอล ก็ไม่ควรถูกมองว่าเป็นการต่อสู้เพื่ออิสลามโดยแท้จริง ตราบใดที่พวกเขายังไม่แสดงออกถึงความจริงใจต่อหลักการร่วมของอิสลาม และยังคงใช้แนวคิดของนิกายเป็นเครื่องมือทางการเมือง

           เพราะฉะนั้น การปลดปล่อยปาเลสไตน์อย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อการต่อสู้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเตาฮีด ความบริสุทธิ์แห่งเจตนา และเอกภาพของประชาชาติอิสลาม โดยปราศจากอคติทางมัซฮับที่เป็นภัยต่ออุมมะฮ์เอง

 

          ดังนั้น การเข้าใจแนวคิดของชีอะฮ์ต่อศอหาบะฮ์และชาวซุนนีจึงไม่ใช่เพียงการถกเถียงเชิงนิกายเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ ความขัดแย้ง และผลกระทบที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน

 

         อุดมการณ์ของชีฮะห์ในการเป็นศัตรูต่ออะลุซซุนนะห์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะชีอะห์เขาใช้หลักการตะกียะห์เป็นเครื่องมือหากินมาตลอด  

          ขออัลลอฮได้ปกป้องให้เรารอดพ้นจากความชั่วร้ายของการกระทำของชีฮะห์และยิวไซออนิสต์