คุตบะฮฺ อิดิลอัฎฮา 1430 ฮ.ศ. (2)
  จำนวนคนเข้าชม  5203

الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد

 พี่น้องชาวอีดิลอัฏฮาทั้งหลาย

           เมื่อพูดถึงผู้นำคุณภาพและประชาชาติที่ดีเลิศแล้ว เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะนึกถึงมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เท่าที่โลกเคยมีมา และประชาชาติที่ดีเลิศที่ถูกอุบัติขึ้นมายังมนุษยชาติ นั่นคือนะบีมุฮัมมัด   และประชาสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยของท่าน ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับมนุษยชาติ ถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุม ต่อเนื่องและเป็นธรรมที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

           ก่อนที่จะพูดถึงบทบาทของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และผลงานอันมหัศจรรย์นี้ ขอเชิญชวนท่านทั้งหลายย้อนไปในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 6 และ 7 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งถือเป็นยุคมืดหรือช่วงเสื่อมถอยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลก มนุษยชาติกำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งวิกฤตการณ์และตกต่ำอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ  คำเรียกร้องของเหล่าศาสนทูตต้องเงียบเชียบลงไปช่วงเวลาหนึ่ง... ดวงประทีปที่เคยจุดไว้ต้องมืดดับลง ด้วยลมพายุที่โหมกระหน่ำ แม้นพอมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงดวงไฟอันริบหรี่ ขณะที่นักการศาสนาทั้งหลาย บ้างก็ปลีกวิเวกจากสนามชีวิตจริง  จำกัดตัวอยู่ในวัดวาอาราม และโบสถ์วิหาร หวังเพียงรักษาไว้ซึ่งหลักธรรมคำสอนและชีวิตตนเองจากความโกลาหลอลหม่านทางโลก มุ่งมั่นแค่การเทศนาธรรมที่ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้   หลีกห่างจากภาระจำเป็นต่างๆของชีวิตที่ต้องประสบพบเจอ หรือไม่ก็ตกอยู่ในสมรภูมิสู้รบระหว่างศาสนาและการเมือง  จิตวิญญาณและวัตถุ  ขณะที่อีกส่วนหนึ่งได้อยู่ในสนามชีวิตจริง กลับมีท่าทีที่ประจบสอพลอต่อผู้มีอำนาจ ซ้ำยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรู  และโกงกินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยมิชอบ

          ศาสนาสำคัญทั้งหลายต้องตกเป็นเหยื่อของบรรดาผู้ปฏิบัติที่เลินเล่อ   เป็นของเล่นสำหรับนักบุญใจบาปผู้บิดเบือนและกลับกลอก   กระทั่งวิญญาณ และสารัตถะของศาสนาเหล่านั้นต้องสูญสิ้นไป  หลายดินแดนที่เคยเป็นอู่ทองแห่งอารยธรรม ต้องกลายเป็นสนามของความวุ่นวาย ไร้ขื่อแป ผู้ปกครองเอาแต่ฉ้อฉลและสาละวนอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตน โลกอยู่ในสภาพที่ไร้สาสน์ชี้นำ ขณะที่ประชาชาติต่างๆ ก็จมลงในมหาสมุทรตัณหาราคะ สายธารที่คอยชุบเลี้ยงชีวิตต้องเหือดแห้ง จนไม่มีบัญญัติใดๆจากศาสนา ที่ถือว่าบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่อีก  หรือแม้แต่กฎระเบียบของมนุษย์ที่มั่นคง สักเสี้ยวหนึ่งก็ไม่มี

          สถาบันศาสนา ถูกคุกคามโดยผู้นับถือศาสนาเอง มีการโต้แย้ง หักล้างกันทางตรรกะ จนครอบงำความคิดของผู้คน ทำลายความฉลาด และกลืนกินความสามารถด้านการสรรค์สร้างนวตกรรม    ทำให้เกิดสงครามเลือด ฆ่าฟัน ทำลาย กดขี่ข่มเขง  ปล้นสดมภ์และลอบสังหารกัน  ในขณะที่โรงเรียน โบสถ์วิหารและบ้านเรือนต้องกลายเป็นค่ายสะสมอาวุธ ที่หวังต่อสู้เอาชนะคาดคั้นกัน   ประเทศชาติได้ถูกชักนำสู่สงครามกลางเมืองที่โหดร้ายที่สุด

          ซ้ำร้ายบรรดาผู้นำประเทศยุคนั้น ยังเป็นต้นเหตุของความมัวหมองบนหน้าแผ่นดิน  เป็นนรกอเวจีต่อชาติพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน  เป็นความทุกข์ทรมานสำหรับชาติเล็กชาติน้อยที่อ่อนแอกว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมเสีย และโรคร้ายในเรือนร่างของสังคมมนุษยชาติ  คอยแพร่กระจายให้เชื้อพิษไหลผ่านเข้าสู่โสตประสาทและเส้นเลือด  แล้วเรือนร่างที่เคยปกติสมบูรณ์ก็กลายเป็นอัมพาต

          เช่นเดียวกับสังคมอาหรับก่อนอิสลาม ที่ห่างไกลเหลือเกินจากสาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าและทางนำของบรรดาศาสนทูต  การจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะในแถบคาบสมุทรอาหรับ และยึดติดอย่างงมงายกับความเชื่อของบรรพบุรุษและประเพณีเก่าๆ ทำให้พวกเขาต้องประสบกับความตกต่ำด้านศาสนาอย่างรุนแรง และความเชื่อในลัทธิบูชาเจว็ด(รูปปั้น)แพร่หลายยิ่งกว่าชนชาติใดๆในยุคเดียวกัน  โรคร้ายทางจริยธรรมและสังคม ทำให้พวกเขาต้องตกเป็นชาติที่เสื่อมถอยด้านศีลธรรม  สังคมที่ฟอนเฟะ  ไร้เสถียรภาพ  นับเป็นวิถีชีวิตแบบญาฮิลียะฮ์ที่เลวร้ายที่สุด 

          โดยภาพรวมแล้ว ไม่มีชนชาติใดอีกแล้วในยุคนั้นที่มีนิสัยงดงาม หรือสังคมอารยันที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมจรรยา ไม่มีรัฐบาลใดที่ได้รับการสถาปนาอยู่บนรากฐานแห่งความยุติธรรมและความเมตตาธรรม  ไม่มีผู้นำใดที่ตั้งมั่นอยู่บนฐานความรู้และวิทยปัญญา และไม่มีศาสนาใดที่ถือว่าถูกต้องที่สืบสานต่อมาจากบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย ความเสื่อมถอยระบาดไปทั่วทั้งบนบกและท้องทะเล

          แสงอันริบหรี่ ราวหิ่งห้อยที่ส่องแสงอยู่ในยามค่ำคืนที่แสนมืดมิด อย่างไรก็มิอาจส่องแสงสว่างแก่หนทางได้  มีเพียงบางคนที่ยอมฝ่าฟันออกจากความมืดมิด เพื่อค้นหาความรู้อันถูกต้อง เสาะแสวงศาสนาที่เที่ยงแท้ที่อาจหลงเหลืออยู่บ้างบนผืนแผ่นดิน ยอมระหกระเหินทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน  เพื่อหวังพึ่งพิงนักการศาสนาผู้ทรงธรรม เช่นคนใกล้จมน้ำที่หวังไขว่คว้าเพียงแผ่นกระดานที่ล่องลอยจากซากเรือที่อับปาง  ซึ่งถูกคลื่นซัดโหมกระหน่ำ ดังที่เกิดขึ้นกับบุรุษผู้แสวงหาสัจธรรมนามว่า ซัลมาน อัลฟาร์ซีย์

          ท่ามกลางมนุษยชาติอยู่ในความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ มุฮัมมัด บุตร      อับดุลลอฮ์ ได้กำเนิดมา โลกในขณะนั้น มีสภาพที่ไม่ต่างกับอาคารที่ประสบแผ่นดินไหวรุนแรง ทุกสิ่งกระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง รากฐานและอุปกรณ์บางอย่างเสียหายอย่างไม่มีชิ้นดี บ้างก็คดงอเสียรูปทรง และบ้างก็ถูกพัดพาคลาดเคลื่อนออกไปจากตำแหน่งที่เหมาะสม หรือโยกย้ายไปยังสถานที่อื่น ในขณะที่บางส่วนก็ถูกสุมวางอยู่เป็นกอง…

          ท่านเพ่งพิจารณาโลกด้วยสายตาศาสนทูต จึงพบเห็นว่า ผู้คนทั้งหลายถูกทำลายสิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์...  พวกเขาต่างพากันกราบไหว้โขดหิน ต้นไม้และแม่น้ำ รวมถึงสิ่งต่างๆที่มิอาจบันดาลคุณหรือให้โทษ แม้แต่ต่อตนเองได้เลย…

          ท่านพบเห็นมนุษย์ตกอยู่ในสภาพวิปริต สูญเสียสิ้นซึ่งความมีสติปัญญา  แม้แต่สิ่งแจ่มแจ้งชัดเจนก็แยกแยะไม่ถูก   ระบบความคิดถูกทำลาย ลังเลในสิ่งที่ควรเชื่อมั่นศรัทธา แต่เชื่อมั่นในสิ่งที่พึงกังขา ... รสนิยมของเขาถูกทำลายย่อยยับ กระทั่งหันไปยินดีปรีดากับสิ่งที่น่าขมขื่น... นิยมในสิ่งที่เลวทราม  ชื่นชอบอาหารที่สกปรกโสโครก... ความรู้สึกนึกคิดของเขาคงอันตรธานเสียแล้วกระมัง  ถึงกลับกลายไปนิยมยกย่องศัตรูผู้อธรรม  แต่ต่อมิตรสหายผู้หวังดีแท้ๆเขากลับชิงชังแหนงหน่าย...

          ท่านพบเห็นสังคมที่ทุกสิ่งในนั้นมิได้อยู่ในรูปลักษณ์ หรือวางอยู่ในตำแหน่งของมัน  มหาโจรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำ ... สุนัขจิ้งจอกกลายเป็นผู้เลี้ยงฝูงแกะ... นักโทษประหารกลายเป็นผู้พิพากษา... เหล่าอาชญากรถูกปล่อยลอยนวลอยู่ในสังคม  ขณะที่คนดีๆ กลับอยู่ในสภาพรันทดหดหู่... สมาชิกในสังคมไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อความดีงามหรือความชั่วช้า...

          ท่านยังพบเห็นประเพณีอันเลวทรามต่างๆ ที่เป็นตัวเร่งทำลายมนุษยชาติให้พินาศเร็วขึ้น  และนำพาพวกเขาสู่หุบเหวแห่งความหายนะ ...

          ท่านพบเห็นการดื่มสุรายาดองถึงขั้นกลายเป็นประเพณีนิยม... ขณะที่สิ่งลามกอนาจารต่างๆ มีมากมายดาษดื่น... การกินดอกเบี้ยแพร่ระบาดทั่วทุกหย่อมหญ้า  จนเหมือนเป็นการจี้ปล้นทรัพย์สินของประชาชน ...

          ท่านพบเห็นความกระสันและอยากได้ในทรัพย์สินเงินทอง ถึงขั้นละโมบและตะกละ ... พบเห็นความโหดร้าย ทารุณ แม้กระทั่งฝังลูกทั้งเป็น...

          ท่านพบเห็นระบบครอบครัวถูกทำลายอย่างย่อยยับ สตรีเป็นเพียงแค่สินค้าและเป็นที่ระบายอารมณ์กำหนัดของบุรุษ อันตพาลครองเมือง ภาษาเดียวที่มีการพูดกันอย่างกว้างขวางคือ ผู้ใดไม่ปฏิบัติอธรรม เขาย่อมถูกอธรรมรังแก

          ท่านพบเห็นบรรดาผู้นำ ยึดปล้นบ้านเมืองของพระเจ้ามาทำเป็นอาณาจักรของตน... ยึดเอาปวงบ่าวของอัลลอฮ์  มาเป็นทาสบริวาร...

          ท่านพบเห็นบรรดานักพรต นักบวชมากมายตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง  คอยหลอกลวงทรัพย์สินของผู้คนทั้งหลายโดยมิชอบ และขัดขวางหนทางของพระเจ้า...

          ท่านพบเห็นพรสวรรค์ต่างๆของมนุษย์ ถูกทำลายหรือเบี่ยงเบนเสียหายไปสิ้น จนมิอาจใช้ประโยชน์หรือกำหนดความคิดที่ถูกต้องได้อีก มิหนำซ้ำยังกลับกลายมาเป็นโรคร้ายต่อเจ้าของเอง รวมทั้งมนุษยชาติโดยรวมอีกด้วย... ยามนั้นความกล้าหาญก็กลายเป็นความบ้าบิ่นและป่าเถื่อน... ความใจบุญกุศลทานกลับกลายเป็นความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ... ความต่ำต้อยเป็นสิ่งน่ารังเกียจของสังคม... ในขณะที่ความฉลาดก็ถูกใช้ไปเพื่อฉ้อโกงและหลอกลวง...สติปัญญากลายเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์อาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ และประดิษฐ์สิ่งสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ ...

          ท่านพบเห็นมนุษย์ทั้งหลายทั้งปัจเจกชนและองค์กรต่างๆ เป็นดั่งวัตถุดิบที่มิได้ผ่านกรรมวิธีใดๆ ของช่างประดิษฐ์ผู้ฉลาดหลักแหลม... ท่านพบเห็นชนชาติต่างๆ ดำรงอยู่เช่นฝูงแกะที่ไร้ผู้ดูแล... ขณะที่การเมืองก็เป็นเสมือนอูฐพยศที่พยายามดึงเชือกผูกให้ขาดสะบั้น แล้วเที่ยวอาละวาดสร้างความพินาศไปทั่วทุกหย่อมหญ้า... อำนาจเป็นประหนึ่งดาบในมือของคนเมาไร้สติ ที่ไม่เพียงทำร้ายครอบครัว พี่น้องผองเพื่อน หรือสังคมเท่านั้น แม้กระทั่งตัวเองยังยอมตกอยู่ในห้วงเหวแห่งการทำลาย 

Next :: >>>> Click